อย่าตระหนก ฝีดาษลิง 5 องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ ชี้แจงชัดเจน โอกาสแพร่ถึงไทยน้อย ไม่จำเป็นต้องเร่งหาวัคซีนป้องกัน
5 องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ ได้แก่ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ สมาคมโรคติดเชื้อฯ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กฯ และสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันฯ ออกคำชี้แจงเรื่องโรคฝีดาษวานร หรือฝีดาษลิง โดยระบุว่า
สถานการณ์ตามที่ปรากฎเป็นข่าวในสื่อมวลชน เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า มีการระบาดของโรคฝีดาษลิง ในประเทศอังกฤษ แคนาดา สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศที่ไม่เคยเป็นแหล่งระบาดของโรคนี้มาก่อน ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าจะกลายเป็นโรคระบาดใหญ่ สร้างความเสียหายในหลายด้านคล้ายกับโควิด-19 นั้น
องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ ขอให้ข้อมูลเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ เข้าใจวิธีปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย และสามารถดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างปกติ ดังนี้
1. โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในสัตว์ฟันแทะ ที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา แล้วแพร่ไปสู่สัตว์ชนิดอื่น ที่มีรายงานครั้งแรกคือ การติดเชื้อในลิงที่เลี้ยงไว้เป็นสัตว์ทดลอง จึงเรียกว่า ฝีดาษวานร หรือฝีดาษลิง
สัตว์ตระกูลลิง ไม่ใช่แหล่งรังโรค และยังไม่มีรายงานการพบเชื้อนี้ในสัตว์ประเภทฟันแทะในประเทศไทย
2. การติดเชื้อที่มีรายงานในอดีต มักเกิดในสัตว์เลี้ยงหรือคน ที่อยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ฟันแทะ แต่การระบาดที่เกิดขึ้นขณะนี้ ยังไม่ทราบต้นตอที่แน่ชัด คาดว่าน่าจะมีความเชื่อมโยงกับสัตว์ป่าในทางใดทางหนึ่ง ยังต้องรอการสอบสวนโรคอีกระยะเวลาพอสมควร ก่อนที่จะชี้ชัดได้ว่าการระบาดมีมาจากสาเหตุใด
3. การแพร่เชื้อจากผู้ป่วย อาจจะเริ่มตั้งแต่มีอาการไข้ และจะแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้มากที่สุด ในช่วงระยะเวลาที่มีตุ่มน้ำตามตัว ซึ่งต่างจากโควิด-19 ที่สามารถแพร่ได้แม้ผู้ติดเชื้อยังไม่มีอาการ ดังนั้นจึงสามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสโรคได้ง่ายกว่า
4. การระบาดในประเทศต่าง ๆ ยังไม่กว้างขวางมาก ถึงจุดที่จะต้องห้ามการเดินทางเข้ามาของคนจากประเทศนั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม หากพบนักเดินทางจากประเทศที่มีรายงานการพบโรค มีอาการไข้ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ แนะนำให้ไปรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว โดยเฉพาะผู้ที่มีผื่นและตุ่มน้ำใสตามแขนขาและใบหน้า หลังจากมีไข้แล้ว 2-3 วัน
5. ถ้ามีการติดเชื้อ ส่วนใหญ่จะหายได้เองโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้ตามร่างกาย หากไม่มีการติดเชื้อแทรกซ้อน ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ อาจมีอาการรุนแรง องค์การอนามัยโลกระบุว่าโรคนี้มีอัตราตายประมาณ 3.6%
6. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับนักเดินทางที่มีอาการตามข้อ 4 และมาจากประเทศที่มีรายงาน
7. การสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย และการล้างมือหลังการสัมผัสผู้ป่วย เป็นวิธีการที่ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้ดี
8. หลีกเลี่ยงการนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงหรือบริโภค เพราะอาจนำเชื้อก่อโรคชนิดใหมาๆ รวมทั้งฝีดาษวานรมาติดและแพร่ระบาดได้
9. วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ จะป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ด้วย แต่เนื่องจากประเทศไทยหยุดฉีดวัคซีนนี้มาหลายปีแล้ว ดังนั้นผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี น่าจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้จากการปลูกฝี แต่คนอายุน้อยอาจไม่มีภูมิคุ้มกัน
แต่โอกาสที่โรคนี้จะแพร่มาถึงไทยเกิดได้น้อย จึงยังไม่มีความจำเป็นที่ประชาชนทั่งไปจะต้องเร่งรีบหาวัคซีนนี้
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- วัคซีนฝีดาษลิง ดีกว่าปลูกฝี ‘หมอเฉลิมชัย’ แนะไทยสั่งซื้อมาตุนด่วน
- กรมควบคุมโรค สกัด ‘ฝีดาษลิง’ พร้อมคัดกรอง นักท่องเที่ยวเข้าไทย ผ่าน ‘Thailand Pass’
- สธ. ถก วางกรอบและแนวทางป้องกัน ‘ฝี ดาษลิง’ รับมือนักท่องเที่ยว ‘ป่วยแฝง’ ไม่แสดงอาการ