General

‘ตำรวจ PCT’ ทลายออฟฟิศใหญ่ ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์กัมพูชา’ หลอกเป็น ‘สภ.เมืองเชียงใหม่-DHL-Fed EX’

“ตำรวจ PCT” ประสานความร่วมมือกัมพูชา ทลายออฟฟิศใหญ่ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์กัมพูชา” หลอกเป็น “สภ.เมืองเชียงใหม่-DHL-Fed EX” ทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก จับผู้ต้องหาได้ 28 ราย ช่วยเหยื่อคนไทย 5 ราย 

วันนี้ (24 มี.ค.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอส.ตร.) หรือ PCT: Police Cyber Taskforce พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2/หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 PCT และ พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ผกก.(สอบสวน) บก.สส.ภ.2 ร่วมแถลงผลการจับกุมแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ ที่เมืองเมืองพระสีหนุ ประเทศกัมพูชา

แก๊งคอลเซ็นเตอร์

จากการที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้ขยายผลจับกุมเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุกราย และได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ธีรเดช นำทีมสืบสวนจนทราบแหล่งกบดานของเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายนี้ ซึ่งใช้อาคารในเมืองพระสีหนุ เป็นฐานปฏิบัติการ จึงสั่งการให้ชุดปฏิบัติการ เดินทางไปยังกัมพูชา เพื่อประสานขอความร่วมมือกับตำรวจในท้องที่

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  เปิดเผยว่า ในการประสานความร่วมมือดังกล่าว พล.ต.อ.ซาร์ เธท รอง ผบ.ตร.กัมพูชา ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.วัน วีระ ผู้ช่วย ผบ.ตร.กัมพูชา พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร จังหวัดพระสีหนุ สนธิกำลังกับตำรวจไทย นำกำลังเข้าตรวจค้นออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 2 แห่ง ในจังหวัดพระสีหนุ

ทลายออฟฟิศใหญ่ ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์กัมพูชา’

จุดที่ 1 เป็นโรงงานร้างไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่บนถนนสันติภาพ ซึ่งจุดนี้ จะมีแผนประทุษกรรมในการหลอกลวง โดยการโทรศัพท์ไปหาเหยื่อ แล้วอ้างว่ามีพัสดุจากบริษัทขนส่ง “DHL” หรือ “FedEX” และถูกด่านกรมศุลกากรอายัดไว้ เนื่องจากมีสิ่งของผิดกฏหมาย

แก๊งคอลเซ็นเตอร์

จากนั้นจะมีคนแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ ติดต่อไป เพื่อทำการตรวจสอบบัญชี หรือตรวจสอบการเงิน เพื่อหลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินให้ โดยใช้รูปโปรไฟล์ในแอปพลิเคชันเป็น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุด ผบ.ตร.มาแอบอ้างทำให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ

ผลการตรวจค้นพบจับกุมผู้ต้องหา 28 คน โดยเป็นบุคคลที่ถูกออกหมายจับไว้แล้วทั้งหมด รวมถึง นายซิน ฮัง เต หรือนายอาเต๋อ อายุ 28 ปี สัญชาติจีน (ไต้หวัน) หัวหน้าใหญ่, นายจาง เจียน เทียน หรือนายอาหู อายุ 41 ปี สัญชาติจีน (ไต้หวัน) หัวหน้าใหญ่ และ นายพรศักดิ์ รีพล อายุ 30 ปี สัญชาติไทย พร้อมพวกคนไทยอีก 25 คน

ทั้งหมดถูกออกหมายจับในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันเป็นอั้งยี่ร่วมกันเป็นซ่องโจร มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันฟอกเงิน”

แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์

 

นอกจากนี้ ยังตรวจค้นพบพยานหลักฐานสำคัญ คือ

  • โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Iphone จำนวน 30 เครื่อง
  • วิทยุสื่อสาร จำนวน 8 เครื่อง
  • คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก จำนวน 4 เครื่อง
  • สคริปต์เตรียมบทพูดเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่จาก DHL และ FedEx
  • เอกสารหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเอกสารปลอม
  • เอกสารหมายจับศาลอาญา ซึ่งเป็นเอกสารปลอม
  • เอกสารหมายเรียกของสำนักคดีการเงินการธนาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นเอกสารปลอม

ส่วนจุดที่เข้าตรวจค้นแห่งที่ 2 เป็นอาคาร Diwei Entertainment City ถนน 2 Thnou เมืองพระสีหนุ ซึ่งเปิดเป็นบ่อนกาสิโนบังหน้า ลักลอบทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บนชั้น 5 ของตึก

จุดนี้จะมีแผนประทุษกรรมในการหลอกลวง โดยการ หลอกลวงให้หลงรักในแอปพลิเคชันทินเดอร์ (Tinder) จากนั้นชักชวนลงทุนเทรดเงินดิจิตัล โดยจะให้โอนเหรียญชนิด Usdt เข้าไปในกระดาษเทรดเหรียญเถื่อน บางรายที่เทรดเป็นอยู่แล้ว ก็จะถูกชักจูงให้เทรดในโหมด Futures Trade ซึ่งมีความเสี่ยงสูง

หากผู้ถูกหลอกสามารถเทรดจนได้กำไรในพอร์ต ก็ไม่สามารถถอนเงินออกได้อยู่ดี และขั้นตอนสุดท้ายคือ จะถูกหลอกให้เสียเงินภาษีเพื่อถอนเงินในพอร์ตออกมา แต่เมื่อผู้ถูกหลอกโอนเงินเข้าไปแล้ว ก็ไม่สามารถถอนเงินออกจากพอร์ตได้เลย

นอกจากนี้ ยังใช้วิธีการหลอกลวงให้ร่วมลงทุน กับการขายสินค้าแอปพลิเคชัน Lazada ให้ผลตอบแทนสูง

ผลการตรวจค้น พบคนไทย 33 คน ขณะกำลังทำงานคุยกับลูกค้า ซึ่งจะต้องทำการคัดแยกต่อไปว่าใครเป็นเหยื่อ ใครเป็นผู้ต้องหา เบื้องต้นสอบถามมี 5 คนที่สมัครใจอยากกลับประเทศไทย ซึ่งได้ส่งตัวไปยังสถานกงสุลไทยในกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว

ตรวจค้นพบพยานหลักฐานสำคัญ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์แบบ All in one จำนวน 68 เครื่อง รวมทั้ง 2 จุด พบเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 61 คน

แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ บอกด้วยว่า การเข้าตรวจค้นจับกุมในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้เตือนสติให้กับผู้ต้องหา ถึงภัยอันตรายของการมาทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสุดท้ายก็จะถูกขาย และถูกใช้แรงงานไม่ต่างจากทาส และจะวนเวียนในวัฏจักรดังกล่าวไม่จบไม่สิ้น  เมื่อกลับประเทศไป ก็จะต้องถูกดำเนินคดีทุกราย

หลังตรวจค้นจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศกัมพูชา ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดดำเนินคดีตามกฎหมายในกัมพูชาก่อน และเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการตามกฎหมายของกัมพูชาแล้ว จะดำเนินการส่งตัวผู้ต้องหาให้ไทย

ทั้งนี้ ได้สั่งการให้พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.ภ.2  พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 และ พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว เตรียมรอรับตัวผู้ต้องหา เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กังวลปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ปัจจุบันระบาดหนัก และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หลากหลายรูปแบบ จึงสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งปราบปรามอย่างจริงจัง และหาแนวทางเสริมภูมิความรู้ให้กับประชาชน

ผู้อำนวยการ ศปอส.ตร. ยังเปิดเผยว่า นับตั้งแต่เปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน มีผู้เสียหายแจ้งความออนไลน์แล้ว 4,649 ราย

อันดับ 1 คือ หลอกลวงด้านการเงิน 3,737 เรื่อง 

  • คอลเซ็นเตอร์ 460 เรื่อง
  • ปลอมโปรไฟล์คนหน้าตาดีหลอกให้ลงทุน (Hybrid Scam) 443 เรื่อง
  • ปลอมโปรไฟล์คนหน้าตาดีหลอกให้หลงรัก (Romance Scam) 70 เรื่อง
  • หลอกให้กู้เงิน 642 เรื่อง
  • แชร์ลูกโซ่ 251 เรื่อง
  • อื่น ๆ 992 เรื่อง

แก๊งคอลเซ็นเตอร์กัมพูชา

อันดับ 2 คือ หลอกจำหน่ายสินค้าออนไลน์ 724 เรื่อง 

  • หลอกขายไม่ได้รับสินค้า 659 เรื่อง
  • หลอกขายสินค้าไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ 105 เรื่อง
  • อื่น ๆ 44 เรื่อง

อันดับ 3 คือ เฟคนิวส์ (Fake News) 87 เรื่อง

จึงขอฝากเตือนว่า อย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อง่าย ๆ หากพบเบาะแสสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ศูนย์ PCT 081-8663000 หรือ สายด่วน บช.สอท. 1441 หรือ www.pct.police.go.th ตลอด 24 ชม. หรือผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.com

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo