นายกสภาวิศวกร ลงพื้นที่สำรวจ และหาแนวทางป้องกัน น้ำทะเลหนุนบริเวณสะพานซังฮี้ เสนอ 4 แนวทางแก้ไขปัญหา เตือน หากไม่เร่งลงมือ 10 ปีข้างหน้า ความเสียหายจะรุนแรงกว่านี้
วันนี้ (9 พ.ย.) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร และอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) พร้อมคณะ ลงพื้นที่สำรวจบริเวณสะพานซังฮี้ หลังจากเมื่อวานนี้ เกิดเหตุการณ์น้ำทะเลหนุนสูงกว่า 2.40 เมตร จนทำให้เขื่อนกั้นน้ำบริเวณใต้สะพานซังฮี้แตก น้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่ ส่งผลกระทบกับประชาชน ทั้งในส่วนของบ้านเรือน และการสัญจร
ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า จากกรณีน้ำทะเลหนุนสูงสุด ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคมของทุกปี ประกอบกับการก่อสร้างแนวเขื่อนกั้นแม่น้ำเจ้าพระยายังไม่สมบูรณ์ เกิดเป็นฟันหลอ และมีรูรั่วหลายจุด อาทิ ท่าเรือ และพื้นที่รุกล้ำ ทั้งกำแพงเขื่อนทรุดพัง และรอการแก้ไข ส่งผลให้ชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา จะประสบปัญหาน้ำท่วมล้นเข้าพื้นที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง
ในฐานะนายกสภาวิศวกรจึงขอเสนอ 4 แนวทาง เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ กทม. ดังนี้
- ใช้เทคโนโลยี
เพราะปัญหาน้ำทะเลหนุนสามารถรู้ข้อมูลล่วงหน้าได้ จากการพยากรณ์ช่วงเวลาที่น้ำขึ้น-น้ำลงในทุกวัน และเมื่อพิจารณาร่วมกับข้อมูลของระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา สามารถที่จะตรวจสอบ และวิเคราะห์ความเสี่ยงได้
ดังนั้น หากนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เข้ามาสนับสนุน จะช่วยให้การทำงานสะดวก และคล่องตัวยิ่งขึ้น เพราะเมื่อรู้ล่วงหน้า ก็สามารถจัดทำแนวป้องกันชั่วคราว บริเวณฟันหลอ เพื่ออุดรูรั่วกำแพงเขื่อนกั้นแม่น้ำเจ้าพระยา อีกทั้งเตรียมพร้อมอุปกรณ์เสริม อาทิ ปั๊มสูบน้ำอัตโนมัติ มาช่วยเสริมทัพบริเวณที่น้ำทะลัก
- ใช้แนวเขื่อน(ที่สมบูรณ์)
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งก่อสร้างเสริมแนวเขื่อนให้สมบูรณ์ตลอดแนว เพื่อสร้างความเข้าใจ และมั่นใจของคนในชุมชนมากขึ้น และต้องสร้างประตูระบายน้ำอัตโนมัติ เหมือนสิงคโปร์ โตเกียว ลอนดอน ที่สามารถเปิด-ปิดประตูระบายน้ำได้ด้วยคอมพิวเตอร์ ที่มาพร้อมความแม่นยำสูง เชื่อมโยงกับระบบพยากรณ์สภาวะอากาศ และระดับน้ำขึ้น-น้ำลง เพื่อลดข้อผิดพลาด ที่อาจจะเกิดจากคน (Human Error)
นอกจากนี้ ยังต้องเก็บข้อมูลสถิติระดับน้ำสูงสุด ที่เกิดจากน้ำหนุน ควบคู่กับการบริหารจัดการมวลน้ำเหนือ ที่ไหลผ่าน กทม. เพื่อประกอบการวางแผนและป้องกันล่วงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
- ใช้กำแพงสองชั้น
การออกแบบกำแพงเขื่อนแบบเดิม โอกาสพังเร็วมาก เนื่องจากสภาวะการขึ้นลงของน้ำในปัจจุบัน รุนแรงกว่าในอดีต ดังนั้น อาจต้องออกแบบเป็นกำแพง 2 ชั้น แบบในต่างประเทศ ที่มีความมั่นคงกว่า เพราะนอกจากไม่รุกล้ำพื้นที่ชุมชน เพิ่มพื้นที่ทางเดินริมน้ำให้ประชาชนแล้ว ยังสะดวกต่อการเข้าไปตรวจสอบความเสียหาย และบำรุงรักษา
อย่างไรก็ตาม ในหลายพื้นที่ พบกำแพงเขื่อนทรุดจนต่ำกว่าระดับน้ำ และกรณีที่น้ำหนุน ก็ประสบปัญหาน้ำล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมที่อยู่อาศัยของประชาชน ในอนาคตจึงอาจจะต้องยกขอบกำแพงเขื่อนให้สูงขึ้นอีก
- ใช้เขื่อนปากแม่น้ำอัตโนมัติ
ในการแก้ปัญหาระยะยาว อาจจำเป็นต้องสร้างเขื่อนปากแม่น้ำที่สามารถเปิด-ปิดได้ เหมือนในต่างประเทศ อาทิ เมืองเวนิส อิตาลี และเมืองรอตเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์
ศ.ดร.สุชัชวีร์ ยังเตือนว่า หากไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง อาจจะส่งผลให้ 10 ปีต่อจากนี้ หลายพื้นที่ใน กทม. ซึ่งในปัจจุบันเปรียบเป็นกระทะคอนกรีต ที่มีก้นลึกต่ำกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา และต่ำกว่าระดับน้ำทะเล อาจได้รับผลกระทบที่รุนแรงขึ้น เพราะต้องเผชิญกับภาวะฝนตกหนัก ปริมาณน้ำเหนือที่ไหลผ่าน น้ำทะเลหนุนสูงจากภาวะโลกร้อน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะต้องเร่งศึกษาผลกระทบ และงบประมาณ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘กรมอุทกศาสตร์’ เตือน 5-14 พ.ย. น้ำทะเลหนุนสูง ระดับน้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงกว่าปกติ
- ด่วน!! กทม.ประกาศเตือน 5 เขตน้ำทะเลหนุนสูง สั่งเตรียมพร้อมรับมือ
- ‘บิ๊กป้อม’ บอกน้ำทะเลหนุนสูง ทำไงได้ เตือนประชาชนแล้ว ลั่นไม่น่าห่วง!!