General

ไขข้อสงสัย ยกระดับ ‘บัตรทอง’ 4 ระบบบริการ 

กทม. -กรมการแพทย์ -สธ. และ สปสช.  ผนึกกำลัง “ไขข้อสงสัย ยกระดับ บัตรทอง พัฒนา 4 ระบบบริการ” ประกาศความพร้อม ทั้ง “รักษาปฐมภูมิทุกที่ในเครือข่ายหน่วยบริการบัตรทอง” นำร่อง กทม. และ “ยกเลิกใช้ใบส่งตัวกรณีผู้ป่วยใน” นำร่องเขต 9 นครราชสีมา

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในการรับบริการปฐมภูมิภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง ก่อนหน้านี้ ผู้ป่วยต้องลงทะเบียนที่หน่วยบริการปฐมภูมิที่ใดที่หนึ่งก่อน  ต้องรับบริการที่หน่วยบริการที่ลงทะเบียนเท่านั้น

บัตรทอง

แต่ที่ผ่านมาพบว่า มีประชาชนบางส่วนที่มีความสะดวกในการรับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิอื่น เพราะใกล้ และสะดวกกว่า และหากต้องการไปรับบริการที่หน่วยบริการอื่นจะต้องมาลงทะเบียนหน่วยบริการใหม่ ที่เป็นข้อจำกัด และทำให้เกิดภาพบริการบัตรทองที่เป็นระบบอนาถา

ด้วยนโยบายของรัฐบาล และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่เห็นควรแก้ไขปัญหานี้  จึงได้มอบให้สปสช. ดำเนินการ จนกลายเป็นที่มาของการปรับระบบบริการ “รักษาปฐมภูมิทุกที่ในเครือข่าย หน่วยบริการ ” โดยใช้หลักการใกล้บ้านใกล้ใจ

นพ.จเด็จ ย้ำว่าระบบนี้เฉพาะบริการปฐมภูมิเท่านั้น และในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ไม่ได้ดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศ เป็นเพียงการนำร่องในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งก่อนหน้านี้มีปัญหา 190 คลินิกเอกชนถูกยกเลิกจากระบบบัตรทอง ทำให้ประชาชนไม่มี หน่วยบริการ ประจำรองรับ จึงนำนโยบายใหม่นี้มาทดลอง

ประชาชนที่รับบริการขอให้นำบัตรประชาชนพกติดตัวไปด้วย เพื่อเป็นการยืนยันตัวตน และใช้สิทธิรับบริการ

ทางด้าน นพ.ชวินทร์ ศิรินาค รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีนโยบายพัฒนาระบบสุขภาพให้กับชาว กทม. และได้หารือกับ สปสช. ในการแก้ไขปัญหา โดยให้ กทม. ทำงานร่วมกับ สปสช. อย่างเต็มกำลัง

ขณะนี้สถานพยาบาลใน กทม. ที่รองรับสิทธิบัตรทอง และประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้มีอยู่ มี 136 แห่ง ที่ ในจำนวนนี้เป็นหน่วยบริการสังกัด กทม. 81 แห่ง โดยแบ่งเป็น

  • ศูนย์บริการสาธารณสุข สังกัดสำนักอนามัย 69 แห่ง
  • โรงพยาบาลสังกัดสำนักการแพทย์อีก 11 แห่ง
  • โรงพยาบาลวชิรพยาบาล

ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ประชาชนจะเข้ารับบริการยังหน่วยบริการปฐมภูมิทุกที่ในเครือข่ายของตนได้

บัตรทอง

ส่วนนโยบายยกระดับบัตรทองอีก 3 ด้าน ในด้านการยกเลิกใช้ใบส่งตัว กรณีผู้ป่วยในที่ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลนั้น นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การยกเลิกใบส่งตัวตามนโยบายนี้ เฉพาะกรณีผู้ป่วยในที่ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล เป็นไปตามนโยบายนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) ร่วมกับ สปสช. นำร่องในพื้นที่ เขตสุขภาพที่ 9 นครราชสีมา ครอบคลุม 4 จังหวัด คือ

  • นครราชสีมา
  • ชัยภูมิ
  • บุรีรัมย์
  • สุรินทร์

เขตนี้ ถือเป็นเขตสุขภาพที่ใหญ่มาก มีประชากรประมาณ 7.5 ล้านคน และมีความพร้อมในการดำเนินการ โดยตั้งแต่ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ประชาชนในพื้นที่เขต 9 นครราชสีมา ในกรณีที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวที่หน่วยบริการประจำ หากระบบดำเนินไปด้วยดี ก็จะมีการขยายผลไปยังจังหวัดอื่นเพิ่มเติม

ในส่วนนโยบาย “มะเร็งส่งตรงถึงโรงพยาบาลเฉพาะด้านที่ไม่แออัด” นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การรักษามะเร็งเป็นสิทธิประโยชน์ระบบบัตรทองอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาอาจเกิดความไม่สะดวก มีปัญหาคิวรักษา และความแออัดบริการ

บัตรทอง

นายอนุทิน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงได้มอบให้กรมการแพทย์ วางแผนบริการให้กับผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้เข้าถึงการรักษาโดยเร็ว ซึ่งโรคมะเร็ง อยู่ในแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) กระทรวงสาธารณสุขอยู่แล้ว สอดคล้องกับการปรับระบบบริการในครั้งนี้

กรมการแพทย์มี สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และ โรงพยาบาลมะเร็ง 7 แห่งทั่วภูมิภาคเข้าร่วม โดยจะเชื่อมโยงข้อมูลการเข้ารับบริการทั้งหมด ทำให้เห็นภาพการเข้ารับบริการและสามารถกระจายคิวรักษาผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียงได้

อย่างไรก็ตามในช่วง 2 เดือนนี้ กรมการแพทย์จะดำเนินการต่างๆ เพื่อรองรับ และวันที่ 1 มกราคม 2564 โรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ จะมีความพร้อมดูแลผู้ป่วยตามนโยบายนี้

“กรมการแพทย์มีแนวทางรักษามะเร็งอยู่แล้ว โดยจัดทำร่วมกับโรงเรียนแพทย์ เป็นมาตรฐานบริการผู้ป่วยมะเร็งโรงพยาบาลในสังกัด ดังนั้นทุกแห่งจึงเป็นมาตรฐานการรักษา และดูแลผู้ป่วยมะเร็งเดียวกัน ซึ่งสามารถเบิกจ่ายค่ารักษาจากกองทุน บัตรทอง ได้”

นพ.จเด็จ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของบริการผู้ป่วยมะเร็งนั้น แต่เดิมผู้ป่วยมีปัญหาการเข้าถึงการรักษาที่มาจากค่าใช้จ่ายในการวินิจฉัย ทั้งการทำซีทีสแกน และเอกซเรย์ ที่บัตรทองไม่ครอบคลุม ทำให้โรงพยาบาลต้องเรียกเก็บจากผู้ป่วย แต่ที่ผ่านมา สปสช.ได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ในส่วนนี้ โดยกองทุนบัตรทองจะเป็นผู้จ่ายชดเชยค่าบริการนี้ให้กับประชาชน

ปัญหาอุปสรรคที่ตามระบบเดิม กำหนดให้ผู้เปลี่ยนหน่วยบริการประจำต้องรอ 15 วัน จึงจะใช้สิทธิเข้ารับบริการได้นั้น ด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่พัฒนาก้าวหน้า โดยเฉพาะการเชื่อมต่อข้อมูลไปยังหน่วยบริการ และการยืนยันตัวตนโดย Smart card ทำให้ สปสช. สามารถปรับระบบ เพื่อแก้ไขช่องว่างนี้ได้

ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ประชาชนทั่วประเทศ สามารถใช้สิทธิ บัตรทอง ได้ทันทีหลังเปลี่ยนหน่วยบริการประจำ ไม่ต้องรอ 15 วันอีกต่อไป

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo