วันนี้ (25 เม.ย.) นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงการโอนงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จำนวน 2,400 ล้านบาทว่า ไม่กระทบต่อผู้ใช้สิทธิบัตรทอง
งบที่โอนมาดังกล่าว เป็นงบค่าจ้างบุคคลากรทางการแพทย์ ทั้งพนักงานราชการ และลูกจ้างกว่า 40,000 คน ที่ปัจจุบันถูกโอนเป็นข้าราชการ ตามมติของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงต้องโอนงบประมาณในส่วนของค่าจ้างมาเข้างบกลาง จ่ายเป็นเงินเดือน ก่อนที่จะตั้งตำแหน่งข้าราชการของกรมบัญชีกลาง
ที่มาของงบประมาณค่าจ้างบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมด มีทั้งงบประมาณจาก สปสช. กรมบัญชีกลาง ประกันสังคม และงบบริจาค เป็นค่าจ้างบุคลากรที่เป็นข้าราชการ 200,000 คน และลูกจ้างอีก 200,000 คน โดยกระทรวงสาธารณสุขได้งบประมาณ 110,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบป้องกันดูแลสุขภาพ 10,000 ล้านบาท ดูแลผู้ป่วยใน 50,000 ล้านบาท ผู้ป่วยนอก 50,000 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอ รัฐบาลจึงได้อนุมัติงบกลาง ให้สปสช.อีก เพิ่มเติม 3,000 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 จะทำให้ดูแลผู้ป่วยได้เพิ่มถึง 1 ล้านคน
นอกจากนี้ ยังได้งบประมาณสนับสนุนการจัดทำห้องปลอดเชื้อแรงดันลบ จัดหาอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ซึ่งยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับระบบสาธารณสุข จึงได้มีการเพิ่มงบกลางเข้ามาดูแลผู้ป่วยในทุกมติ และขอให้ความมั่นใจว่า จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการดูแลคนไข้ งบประมาณก็ไม่ได้ตัดให้น้อยลง และไม่มีการตัดค่าบริการต่างๆ ตามที่กังวลกันแต่อย่างใด เพราะตามความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลได้เพิ่มงบกลางให้บริการประชาชนมากขึ้น
นางนฤมล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยด้วยว่า นายกรัฐมนตรี มีแนวนโยบาย และสั่งการมายังผู้อำนวยการสำนักงบประมาณและกระทรวงสาธารณสุข ว่าวิธีการในการจัดสรรงบประมาณจะทำอย่างไร แต่ต้องไม่กระทบกับประชาชน ในการที่จะเข้าถึงสิทธิบริการบัตรทอง ทั้งยังเน้นย้ำว่า บุคลากรทางการแพทย์ เป็นกองกำลังสำคัญในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 จะต้องดูแลอย่างดีที่สุด
- หมอโวย! ไม่ได้เงินสู้ไวรัสเพิ่ม แถมโดนตัดงบ ‘สาธารณสุข-บัตรทอง’ 3.6 พันล้าน
- ‘ตำรวจ’ เฉือนงบ 657 ล้านบาท ส่งคืนร่วมแก้ ‘โควิด-19’
- ครม.รับทราบข้อเสนอส่วนราชการหั่นงบปี 64 สู้โควิด
