General

1 พ.ค.นี้ ชี้ชะตา ‘ประยุทธ -พวก’ ศาลตัดสินคดีที่ดินสนามกอล์ฟทับป่าสงวน

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 3 นัดฟังคำพิพากษาคดีที่ 2 “ประยุทธ มหากิจศิริ -เจ้าหน้าที่รัฐ” ออกเอกสารสิทธิ์เขตป่าสงวน-ส.ป.ก. ทำสนามกอล์ฟ เมาน์เทน ครีกฯ มิชอบ 1 พ.ค.นี้ เผยป.ป.ช.เป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง

แม้ข้อพิพาทระหว่าง “เนสท์เล่” เจ้าของแบรนด์ “เนสกาแฟ” กับตระกูล “มหากิจศิริ” ที่ร่วมก่อตั้งบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ร่วมทุนกันในสัดส่วน 50:50 ตั้งแต่ปี 2533 เดินทางมาถึงจุดที่ต้องยุติสัญญาเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 แต่ผู้ถือหุ้นของบริษัททั้งสองฝ่าย ไม่สามารถตกลงเรื่องการดำเนินงานในอนาคตของ QCP ได้  เวลานี้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครยอมใคร ออกแถลงการณ์ชี้แจงกันไปมา ส่วนจะจบลงอย่างไรยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม หรือจะกลายเป็น “มหากาพย์” ก็ตาม นี่ก็เป็นความขัดแย้งในทางธุรกิจระหว่าง”เนสท์เล่” กับตระกูล “มหากิจศิริ”

แต่สำหรับ  นายประยุทธ มหากิจศิริ ยังต้องเผชิญกับคดีฟ้องร้อง ที่สำนักงาน ป.ป.ช. ยื่นฟ้องอยู่

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) อ้างแหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยระบุว่าวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและพฤติมิชอบภาค 3 จังหวัดสุรินทร์ มีนัดหมายอ่านคำตัดสินคดีกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตเกี่ยวกับการออกโฉนดในเขตที่ดินของรัฐ เป็นเขตป่าสงวนและเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) โดยมิชอบ (คดีนี้มี 3 สำนวน) ซึ่ง ป.ป.ช. เป็นโจกท์ฟ้องคดีเอง ภายหลังส่งสำนวนไต่สวนคดีเอกสารหลักฐาน ให้พิจารณาฟ้องร้องดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย แต่ฝ่ายอัยการ เห็นว่าสำนวนมีข้อไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ สำนักงาน ป.ป.ช. จึงยื่นฟ้องคดีเอง

ประยุทธ

สำหรับผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ ได้แก่ เจ้าพนักงานที่ดินนครราชสีมา สาขาสีคิ้ว กับพวก ประมาณ 5-6 ราย อาทิ หัวหน้าฝ่ายรังวัด ช่างรังวัด เจ้าหน้าที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และกลุ่มบริษัทเอกชน คือ บริษัท ไทยน็อคซ์ สเตนเลสฯ โดยมีชื่อของ นายประยุทธ มหากิจศิริ  ที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาถูกชี้มูลด้วย ระบุพฤติการณ์ กลุ่มเอกชนได้ให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐสอบเขตขยายเนื้อที่ของโฉนดที่ดิน เพื่อนำมาสร้าง สนามกอล์ฟ เมาน์เทน ครีก กอล์ฟ แอนด์รีสอร์ท แอนด์ เรสซิเดนซ์ นครราชสีมา ถือเป็นการร่วมกันกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

จากการไต่สวนพบว่า กลุ่มเอกชนได้ไปซื้อที่ดินที่ที่มีโฉนด และซื้อที่ดินที่ไม่มีหลักฐานก่อนจะนำมาสอบเขต เพื่อนำที่ดินที่ไม่มีหลักฐานนั้นเข้าไปรวมด้วย ที่ดินที่ไม่มีหลักฐานมีทั้งอยู่ในเขต ส.ป.ก.และเขตป่าสงวนเพื่อนำไปจัดทำสนามกอล์ฟดังกล่าว ถือว่าร่วมกันการกระทำความผิด

สำนักข่าวอิศรา รายงานด้วยว่า คดีนี้ นับเป็น 1 ใน 3 คดี ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีกล่าวหาการออกโฉนดในเขตที่ดินของรัฐ ของ นายประยุทธ มหากิจศิริ และเจ้าหน้าที่รัฐ

โดยคดีแรก สำนักข่าวอิศรา รายงานว่าเป็นกรณีออกเอกสารสิทธิ์ในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดกระบี่และในเขตป่าไม้ถาวร ตามมติคณะรัฐมนตรี ณ ตำบลหนองทะเล อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เนื้อที่ 66 ไร่เศษ โดยมีการนำที่ดินนอกหลักฐานอันเป็นที่ของรัฐประมาณ 19 ไร่เศษ นำมาจัดทำเป็นเอกสารสิทธิ์โดยไม่ชอบ เรื่องนี้มีหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเอกชน เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 มีคำพิพากษาตัดสินคดีกล่าวหา อดีตเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่ กับพวกรวม 11 ราย ซึ่งนายประยุทธ ปรากฏชื่อเป็นจำเลยที่ 6 ในฐานะผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด ถูกลงโทษจำคุก 4 ปี แต่ลดโทษให้เหลือ 2 ปี 8 เดือน พร้อมสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดิน ตำบลหนองทะเล อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ทั้งฉบับ เป็นคดีที่สำนักงาน ป.ป.ช. ยื่นฟ้องเอง

ประยุทธ

อีกคดี สำนักข่าวอิศรา รายงานว่าเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายกฤษณะพงศ์ พู่สกุลสถาพร อดีตเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาสีคิ้ว กับพวก ในคดีกล่าวหาแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ในการรังวัดสอบเขตที่ดิน ตามหลักฐานโฉนดที่ดินเลขที่ 2186 และ 2192 ตำบลลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา โดยทำการรังวัดนำที่ดินนอกหลักฐาน ซึ่งเป็นที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เข้ามาร่วมในโฉนดที่ดินที่ขอทำการรังวัดสอบเขตโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยคดีนี้ มีผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 8 ราย

นอกจาก นายกฤษณะพงศ์ ที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาหลักแล้ว ยังมีชื่อ นายประยุทธ มหากิจศิริ กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยน็อคซ์ สเตนเลสจำกัด (มหาชน) และนางสาว อุษณา มหากิจศิริ ลูกสาว รวมด้วยอยู่ โดยนายประยุทธ ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ เห็นว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151,157 พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 54 ประกอบมาตา 72 ตรี ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ด้วย ส่วนนางสาวอุษณา ถูกชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 157

ขณะที่ นายประยุทธ มหากิจศิริ ยืนยันต่อสาธารณชนว่า ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ไม่เคยใช้ หรือสนับสนุนผู้ใด เจ้าหน้าที่รัฐคนใด ให้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา การดำเนินการรังวัดที่ดินทุกแปลงที่ซื้อมาโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้ดำเนินการไปโดยเจ้าหน้าที่รัฐตามอำนาจหน้าที่ เป็นดุลยพินิจและการดำเนินการโดยอิสระของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ใช้ดุลยพินิจในการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของตน โดยยึดถือและปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการทุกประการ

อ่านข่าวเพิ่มเติม 

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight