กระทรวงแรงงาน ปรับเพิ่มเพดานค่าจ้างคำนวณเงินสมทบประกันสังคม จ่อขยายอายุบำนาญเป็น 65 ปี มุ่งบริหารกองทุนยั่งยืน ป้องกันกระทบต่อกองทุนในอีก 30 ปีข้างหน้า
นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ประกันตนและระบบประกันสังคมของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยและกองทุนประกันสังคมมีภาระการจ่ายสิทธิประโยชน์บำนาญชราภาพในระยะยาว ซึ่งอาจกระทบต่อกองทุนในอีก 30 ปีข้างหน้า
ดังนั้น จึงได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และมีแนวทางสร้างความยั่งยืนให้กับกองทุนประกันสังคม ประกอบด้วย
1. ปรับเพิ่มเพดานค่าจ้างในการคำนวณเงินสมทบ แบบค่อยเป็นค่อยไป ได้แก่ ปี 2568-2570 ปรับเพดานค่าจ้างที่ 1.75 หมื่นบาท, ปี 2571-2573 ปรับเพดานค่าจ้างที่ 2 หมื่นบาท และปี 2574 เป็นต้นไป ปรับเพดานค่าจ้างที่ 2.3 หมื่นบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างแก้ไขกฎกระทรวง
2. กำหนดเป้าหมายผลตอบแทนจากการลงทุนเพื่อสร้างความยั่งยืนอยู่ที่ 5% ต่อปี สามารถดำเนินการได้ทันที
3. ขยายอายุการเกิดสิทธิการรับบำนาญชราภาพ จาก 55 ปี เป็น 65 ปี อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยกำลังศึกษาแนวทางขยายอายุเกษียณแบบสมัครใจ คำนึงถึงผลกระทบที่แตกต่างกันของพื้นที่ กลุ่มอาชีพ และกลุ่มรายได้ต่าง ๆ
4. ขยายความคุ้มครองแก่แรงงานที่ไม่ได้อยู่ในข้อบังคับตามกฎหมาย และนำแรงงานต่างชาติเข้าสู่ระบบประกันสังคม
5. ปรับเพิ่มอัตราเงินสมทบฝ่ายรัฐบาลจากเดิม 2.75% เป็น 5%

สำหรับข้อกังวลเรื่องที่มาของคณะกรรมการประกันสังคม ตามร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับใหม่ว่าจะมีการยกเลิกระบบการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนนั้น ขอยืนยันว่าร่างกฎหมายฉบับใหม่ยังกำหนดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนของทั้งสองฝ่าย ไม่ได้ยกเลิกแต่อย่างใด
เรายังคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของนายจ้างและผู้ประกันตน ในการบริหารกองทุนเพื่อความมั่นคงยั่งยืน แต่จะปรับให้มีความยืดหยุ่นในกรณีที่เกิดสถานการณ์ที่มีเหตุสุดวิสัย เช่น กรณีที่มีโรคระบาด หรือเกิดภัยพิบัติอันอาจกระทบทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ตามปกติ
ทั้งนี้ ให้ออกเป็นประกาศกระทรวงที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการประกันสังคมก่อนเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป
กองทุนประกันสังคม มีแหล่งที่มางบประมาณ จาก 3 ฝ่าย คือ ผู้ประกันตน นายจ้าง และ รัฐบาล และมีวัตถุประสงค์สำคัญในการดูแลผู้ประกันตนที่มากกว่าการรักษาความเจ็บป่วยเพียงอย่างเดียว
ดังนั้นการจะเปลี่ยนแปลงกองทุนไปในทิศทางใด ผู้ประกันตนก็จะต้องรับรู้และตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลสิทธิเพิ่มเติมจากสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนคนไทยทุกคนควรได้รับ โดยจะต้องหารือร่วมกับหน่วยงานที่ดูแลระบบสุขภาพของประเทศทั้งหมด รวมทั้งมีการสำรวจความคิดเห็นเพื่อทำประชาพิจารณ์ด้วย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ประกันสังคม สรุปชัด ‘เงินบำเหน็จชราภาพ’ ม.33-ม.39-ม.40 ได้เท่าไร เช็กเลย!!
- ราชกิจจาฯ ประกาศผลตอบแทน ‘บำเหน็จชราภาพ’ ประกันสังคม ม.33 ,39 และ 40
- ยื่นขอข้อมูล ‘เงินสมทบประกันสังคม-ขอรับสิทธิ 7 กรณี’ ผ่านระบบ e-Self Service ได้แล้ว เช็กเลย!
ติดตามเราได้ที่
- เว็บไซต์ : https://www.thebangkokinsight.com/
- Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
- X (Twitter): https://twitter.com/BangkokInsight
- Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
- Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yx