General

ศูนย์จีโนมฯ ชี้ 7 ข้อเสีย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผูกขาดตรวจ NIPT

ศูนย์จีโนมฯ ออกหนังสือค้าน สปสช. หลังมอบหมาย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นหน่วยงานเดียวในการตรวจ NIPT ชี้ผูกขาด ส่งผลกระทบระบบสาธารณสุขและประชาชนที่เข้าใช้บริการ

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี (ศูนย์จีโนมฯ)โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics  ออกหนังสือคัดค้าน สปสช. กรณีให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดำเนินการตรวจ NIPT เพียงหน่วยงานเดียว โดยระบุว่า

ศูนย์จีโนมฯ

หนังสือคัดค้าน

เรื่อง การทบทวนร่างประกาศเรื่องการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กรณีบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับบริการพื้นฐาน (การตรวจ NIPT)

เรียน เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดทำร่างประกาศเรื่องการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กรณีบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับบริการพื้นฐาน โดยมีแผนการมอบหมายให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นเพียงหน่วยงานเดียวในการดำเนินการตรวจ Non-Invasive Prenatal Test (NIPT) ทั่วประเทศ จำนวน 2.2 แสนคนต่อปี ซึ่งได้มีการเผยแพร่เพื่อรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์ ของ สปสช. ที่ https://law.go.th/ProjectTimeline?projectId=MzkwMURHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ= นั้น

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ขอแสดงความคิดเห็นคัดค้านต่อแนวทางดังกล่าว เนื่องจากการดำเนินการในลักษณะนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบทางลบอย่างร้ายแรงต่อระบบสาธารณสุขและประชาชนผู้รับบริการ ดังประเด็นต่อไปนี้

1. ผลกระทบต่อการเข้าถึงบริการของประชาชน

การรวมศูนย์การให้บริการไว้ที่หน่วยงานเดียวจะส่งผลให้ประชาชน โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ในภูมิภาคห่างไกลประสบความยากลำบากในการเข้าถึงบริการ ทั้งในแง่ของ:

  • ระยะเวลาที่ยาวนานในการขนส่งตัวอย่างจากพื้นที่ห่างไกลมายังศูนย์กลางเพียงแห่งเดียวจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของตัวอย่างเลือด ซึ่งอาจส่งผลให้ผลการตรวจมีความแม่นยำลดลง
  • ความเปราะบางของระบบ หากเกิดปัญหาใดๆ ที่ศูนย์กลาง เช่น การขัดข้องของเครื่องมือ การขาดแคลนบุคลากร หรือภัยพิบัติ จะส่งผลกระทบต่อระบบการตรวจทั้งประเทศ โดยไม่มีทางเลือกสำรอง
  • ความล่าช้าในการรายงานผล อันเนื่องมาจากปริมาณตัวอย่างจำนวนมากที่ต้องวิเคราะห์ในเวลาจำกัด
  • การขาดการกระจายจุดให้บริการและให้คำปรึกษาในพื้นที่ ทำให้ประชาชนต้องเดินทางไกลเพื่อใช้บริการ

11 3

2. ความเสี่ยงต่อสุขภาพมารดาและทารกจากความล่าช้าในการวินิจฉัย

การรวมศูนย์ที่หน่วยงานเดียวซึ่งต้องรับผิดชอบการตรวจวิเคราะห์ถึง 2.2 แสนรายต่อปี หรือประมาณ 600 รายต่อวัน จะก่อให้เกิด:

  • ความล่าช้าในการวิเคราะห์และรายงานผลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ระยะเวลาดำเนินการ (TAT) ในแต่ละตัวอย่างส่งตรวจโดยเฉลี่ยประมาณ 5-10 วัน เนื่องจากกระบวนการมีขั้นตอนที่ซับซ้อน
  • การเสียโอกาสในการวินิจฉัยและตัดสินใจทางการแพทย์ในระยะเวลาที่เหมาะสม
  • ความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติงานที่เร่งรีบเพื่อให้ทันปริมาณงานที่มาก

3. การสูญเสียทรัพยากรและงบประมาณของรัฐอย่างไม่เกิดประโยชน์สูงสุด

การผูกขาดการให้บริการไว้ที่หน่วยงานเดียวเป็นการสร้างระบบที่ขาดการแข่งขัน (Monopoly) ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการใช้งบประมาณของรัฐ ดังนี้:

  • ขาดแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพและลดต้นทุนการให้บริการ
  • ลดโอกาสในการประหยัดงบประมาณจากกลไกการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม
  • ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านความคุ้มค่า

4. การละเมิดหลักการพัฒนาระบบสาธารณสุขอย่างยั่งยืน
การผูกขาดการให้บริการจะนำไปสู่:

  • การสูญเสียองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่แล้วในสถาบันการแพทย์อื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ได้ดำเนินการตรวจ NIPT มากว่า 10 ปี
  • การลดทอนศักยภาพของระบบสาธารณสุขในภาพรวม จากการไม่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและความเชี่ยวชาญที่มีอยู่ทั่วประเทศ
  • การขัดขวางการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในวงการแพทย์ของประเทศ

5. การสร้างความไม่เป็นธรรมในระบบสาธารณสุข

การดำเนินการดังกล่าวก่อให้เกิด:

  • ความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงบริการระหว่างผู้ที่อยู่ในเขตเมืองและชนบท
  • การเลือกปฏิบัติต่อหน่วยงานเดียว โดยไม่เปิดโอกาสให้หน่วยอื่นมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม
  • การสร้างความเหลื่อมล้ำในระบบบริการสาธารณสุขซึ่งขัดต่อหลักการพื้นฐานของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

6. ผลกระทบจากการเอื้อประโยชน์ให้เฉพาะบางหน่วยงานและบริษัท

การรวมศูนย์การตรวจวิเคราะห์ที่หน่วยงานเดียวอาจเปิดช่องให้เกิดการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มบุคคลหรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดให้ใช้บริการจากผู้รับเหมาเอกชนรายใดรายหนึ่งในการจัดหาอุปกรณ์หรือบริหารจัดการระบบ โดยอาจมีการล็อกสเปกหรือให้สัญญากับกลุ่มที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้มีอำนาจตัดสินใจ ส่งผลให้เกิดการผูกขาด ราคาที่สูงเกินจริง หรือคุณภาพบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจกระทบต่องบประมาณของ สปสช. และประโยชน์ของประชาชนโดยรวม

การกระจายระบบการตรวจ NIPT ไปยังหน่วยงานที่มีศักยภาพทั่วประเทศจึงเป็นแนวทางที่จะช่วยลดผลกระทบเหล่านี้ และตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

7. การขัดแย้งกับแนวทางการดำเนินงานที่ผ่านมาของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ในปีงบประมาณ 2564 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ประกาศให้สิทธิประโยชน์ บริการตรวจคัดกรองเพื่อค้นหาการกลายพันธุ์ของยีนโรคมะเร็งเต้านม BRCA1/BRCA2 ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำหรับประชาชนไทยอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีความเสี่ยงสูง และญาติสายตรงที่มีประวัติครอบครัวตรวจพบยีนกลายพันธุ์

ในกรณีดังกล่าว สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ดำเนินการตามหลักการบริหารภาครัฐที่ดี ด้วยการเปิดโอกาสให้หน่วยตรวจบริการทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีศักยภาพสามารถเข้าร่วมดำเนินการให้บริการแก่ประชาชนทั่วประเทศอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม

อย่างไรก็ตาม ในกรณีของการตรวจคัดกรอง Non-Invasive Prenatal Test (NIPT) ปี 2568 ซึ่งเป็นบริการทางการแพทย์ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกลับมีแนวทางการดำเนินการที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยการมอบหมายให้เพียงหน่วยงานเดียวเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด การกระทำดังกล่าวมิได้สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใสที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ยึดถือและปฏิบัติมาในอดีต

การเปลี่ยนแปลงแนวทางดังกล่าว โดยปราศจากเหตุผลที่ชัดเจนและเป็นที่ประจักษ์ อาจก่อให้เกิดข้อสงสัยต่อกระบวนการพิจารณาและตัดสินใจในการบริหารงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นของสาธารณชนที่มีต่อการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ

นอกจากนี้ การให้ประโยชน์แก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ อาจนำไปสู่ความไม่เป็นธรรมในระบบ และลดความไว้วางใจของประชาชนต่อการทำงานของ สปสช. หากประชาชนหรือสื่อตรวจพบพฤติกรรมดังกล่าว อาจเกิดกระแสต่อต้านและความเสียหายต่อภาพลักษณ์ขององค์กร

12 1

ข้อเสนอแนะเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงขอเสนอให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพิจารณา:

1. ทบทวนและยกเลิกแนวทางการมอบหมายให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นเพียงหน่วยงานเดียวในการดำเนินการตรวจ NIPT

2. เปิดโอกาสให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีศักยภาพและความพร้อม เข้าร่วมให้บริการ โดยกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจนและเป็นธรรม

3. สร้างระบบการกระจายจุดรับตัวอย่างและให้คำปรึกษาในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง

4. จัดให้มีกลไกการกำกับดูแลคุณภาพและราคาที่โปร่งใส เพื่อประกันว่าประชาชนจะได้รับบริการที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม

5. ยึดถือแนวทางการดำเนินงานที่เคยปฏิบัติมาแล้วในกรณีการตรวจ BRCA1/BRCA2 เป็นต้นแบบในการดำเนินการตรวจ NIPT เพื่อความสอดคล้องและต่อเนื่องในนโยบายสาธารณสุข

การดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย พัฒนาคุณภาพบริการ และสร้างความยั่งยืนให้กับระบบสาธารณสุขของประเทศในระยะยาว

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

ขอแสดงความนับถือ

ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo