General

ตร.หิ้ว ‘โน๊ต’ มือฆ่า ‘พ่อ-แม่-ลูก’ 3 ศพ ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ

ตำรวจหิ้ว “โน๊ต” มือฆ่า “พ่อ-แม่-ลูก” 3 ศพ ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ชาวบ้านบุกตามด่า-ตามแช่งทุกจุด

พลตำรวจโท อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อม พ.ต.อ.รัฐศรัณย์ เกตุสิงห์สร้อย ผกก.สภ.คลองขลุง แถลงข่าวหลังตำรวจสามารถตามจับคนร้าย ก่อเหตุฆ่าอำพรางศพ “พ่อ-แม่-ลูก” 7 ขวบ

10 7

โดยนายนายศิวกร หรือ “โน๊ต” (ผู้ต้องหา) รับสารภาพว่า มูลเหตุเกิดจาก นายวงศกร หรือ “ใหม่” เคยตกลงจะให้กู้เงินจำนวน 1 แสนบาท เพื่อที่จะนำเงินจำนวนดังกล่าว ไปซื้อโดรนการเกษตร เนื่องจากนายโน๊ต มีอาชีพรับจ้างขับโดรนการเกษตร โดยนายโน๊ต นำโดรนเก่าไปเทิรน์กับทางร้าน วางมัดจำ 7 หมื่นบาท และทำสัญญาจะหาเงินที่เหลืออีก 1 แสน 5 หมื่นบาทมาจ่าย ต่อมานายวงศกรฯ (ผู้ตาย) เปลี่ยนใจไม่ให้กู้ยืม ทำให้นายศิวกร จึงได้ลงมือก่อเหตุดังกล่าว

ส่วนประเด็น วงเเชร์เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ตรวจสอบแล้ว ไม่มีมูลเหตุเกี่ยวข้องแต่อย่างใด  ลำดับเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ  จากคำให้การของนายโน๊ต (ผู้ต้องหา) ผู้ต้องหา นัดนายวงศกร ผู้ตาย ไปเคลียร์เรื่องเงิน โดยให้ผู้ตายไปรับที่บ้าน นั่งรถไปด้วยกัน ขับรถไปเรื่อยๆ เพื่อไปจอดรถคุยกัน

จากนั้นลงไปเคลียร์นอกรถ จนมีปากเสียงกัน โดยนายโน้ตยิงไปที่นายใหม่ 1 นัด อ้างว่า ใช้ปืนที่เคยจำนำกับนายใหม่ มาใช้ก่อเหตุ ก่อนจะโทรหา “นายเข้” มาช่วยเหลือ ยกร่างนายใหม่ มาไว้ที่หลังรถ (ระหว่างนี้ นางสาวแจง ภรรยานายใหม่ กับเด็กชาย 7 ขวบยังมีชีวิตอยู่)

จากนั้นนายโน๊ต เป็นคนขับรถ โดยมีนางสาวแจง และลูกชาย นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ จนเกิดการต่อสู้แย่งปืนกัน เเล้วปืนเกิดลั่น ถูกเด็กชาย 7 ขวบ  กระสุนทะลุเข้าตา ไปโดนกระจกรถ นายโน๊ตโกรธจัด ยิงนางสาวเเจง เสียชีวิต จากนั้น นำศพไปหาที่อำพรางศพ ไว้ข้างบ้านร้าง ห่างจุดก่อเหตุยิงนายวงศกรไป 10 กิโลเมตร ก่อนจะให้ญาติมารับแล้วหลบหนีไป

จากนั้นนายโน๊ต นำสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท ไปขายต่อที่ร้านทอง ในพื้นที่ ตำบลคลองขลุง อำเภอคลองขลุง และนำเงินที่ได้ไปใช้หนี้ และไปใช้ส่วนตัว  จากนั้นพยายามอำพราง โดยส่งข้อความไปหาญาติผู้ตาย (น้องชายภรรยา) ว่าให้ถอนเเจ้งความ ตระเวณหาผ้าคลุมรถที่ห้างสรรพสินค้า มาคลุมรถเพื่ออำพราง (อ้างว่าไปซื้อคนเดียว)

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนเเจ้งข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ,ร่วมกันลอบฝังซ่อนเร้นย้ายหรือทำลายศพ ,ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ,ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ,ร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต

ต่อมา เวลา 13.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายศิวกร หรือ “โน๊ต” และ นายนิรุธ หรือ “นายเข้”  ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยขณะที่คุมตัวออกจากห้องประชุม เพื่อขึ้นรถตู้ตำรวจ ทีมข่าวพยายามสอบถามทั้งคู่ว่า อยากจะขอโทษคนตายไหม? แล้วทำไมถึงกล้าฆ่าเด็ก 7 ขวบได้ลงคอ ทำไมเมื่อวานถึงยังปากแข็งว่าไม่ใช่ผู้ต้องหา ทำไมถึงไปตามผู้สื่อข่าวภูมิภาค 2 วัน แต่ทั้งคู่ไม่ตอบอะไร ก่อนจะขึ้นรถตู้ไป

บรรยากาศที่โรงพักคลองขลุง เต็มไปด้วยญาติของผู้เสียชีวิต และชาวบ้านนับร้อย ที่เดินทางมาสังเกตุการณ์ ต่างก็ตะโกนถามว่า ทำไมถึงฆ่าเด็กได้ลงคอ รวมทั้งด่าทอใส่ผู้ก่อเหตุ

เมื่อเดินทางไปยังจุดที่ 1 คือบริเวณบ้านร้าง จุดพบศพ ปรากฏว่าบรรดาครอบครัวผู้เสียชีวิตรวมถึงชาวบ้านนับร้อย ต่างก็พากันมารุมตะโกนด่า สาปแช่งผู้ต้องหาด้วยความคับแค้นใจ โดยเฉพาะนายศิริชัย ที่เป็นน้องชายของผู้ตายฝ่ายหญิง และเป็นเพื่อนของนายศิวกร หรือ โน๊ต พยายามที่จะเข้าไปหานายศิวกร ที่กำลังโดนคุมตัวทำแผนอยู่บริเวณบ้านร้าง แต่เจ้าหน้าที่กันไว้ทัน เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น

ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัว นายศิวกร ลงจากรถตู้ เดินทางไปยังบริเวณบ้านร้างจุดพบศพ ทีมข่าวก็พยามสอบถามถึงสาเหตุในการฆ่าทั้ง 3 ศพเป็นเพราะอะไร? และการฆ่าเด็กเป็นเหตุปืนลั่นจริงหรือไม่? รวมถึงถามว่า อยากขอโทษผู้ตายหรือเปล่า? แต่เจ้าตัวก็ยังคงเงียบ ไร้ซึ่งคำขอโทษ

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้รถกระบะของตำรวจแทนรถของผู้ตาย ไปจอดตรงจุดพบรถกระบะ แล้วให้นายศิวกร จำลองเหตุการณ์ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าจุดนี้ทั้ง 3 คน ได้เสียชีวิตหมดแล้ว จึงทำการปลดสร้อยของนางสาวนันทกานต์ ที่จุดนี้ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกจากจุดนี้ ไปฝั่งซ้ายประมาณ 800 เมตร เพื่อให้ญาติมารับกลับบ้าน รวมถึงเป็นจุดที่เจ้าตัวเอาผ้าคลุมรถมาคลุมไว้ในวันที่ 17 มกราคม 2568 เพื่ออำพรางด้วย

ระหว่างนั้นทีมข่าวพยามสอบถามความรู้สึกกับเจ้าตัวตรงจุดนี้ ถึงสาเหตุแรงจูงใจ เจ้าตัวได้แต่ยืนนิ่ง และมองกลุ่มผู้สื่อข่าว แต่ไม่ได้ตอบคำถามใดๆ ท่ามกลางเสียงด่าทอของชาวบ้านและครอบครัวของผู้เสียชีวิตที่มายืนสังเกตการณ์ และกระทั่งเจ้าหน้าที่คุมตัวนายศิวกรกลับขึ้นรถตู้ ทีมข่าวพยามถามแล้วถามอีก แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบอะไร

ทั้งนี้ ก่อนที่จะตำรวจจะคุมตังวนายศิวกร ออกจากจุดบ้านร้าง พบว่า บริเวณริมถนนปากทางเข้า ยังคงเต็มไปด้วยกองทัพชาวบ้านและญาติของผู้เสียชีวิตที่มายืนตะโกนด่า โดยเฉพาะความโกรธแค้นที่ผู้ก่อเหตุฆ่าเด็กได้ลงคอ และการตีเนียนกลับมาดูในวันพบศพด้วยท่าทีนิ่งเฉย  และพยายามจะกรูเข้าไปดูหน้า แต่ตำรวจกันเอาไว้ จนกลายเป็นเหตุชุลมุนขึ้น

ต่อมาการทำแผนจุดที่ 2 คือบริเวณจุดพบเลือดกลางทุ่งนา ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่นายศิวกร ก่อเหตุยิงนายวงศกร แต่เนื่องจากมีบรรดาครอบครัวและชาวบ้านมารอสังเกตการณ์เยอะ พร้อมกับมีการตะโกนด่าผู้ก่อเหตุเป็นระยะๆ และเป็นพื้นที่โล่ง เจ้าหน้าที่เกรงว่า จะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ืจึงยกเลิกการทำแผนในจุดนี้ โดยไม่ได้คุมตัวนายศิวกรลงจากรถ

ส่วนนายนิรุธ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้พาตัวลงมาทำแผนในจุดนี้เช่นกัน แม้ว่าเจ้าตัวจะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงก็ตาม เนื่องจากนายนิรุธ เปลี่ยนใจ ไม่ประสงค์ที่จะทำแผน เพราะกลัวจะถูกรุมประชาทันฑ์ และเจ้าหน้าที่ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

จุดนี้มีเพียงแค่ พ.ต.อ.เอนก จันทร์ศร รอง ผบก.ภ.จว.กำแพงเพชร เล่าพฤติการณ์จุดนี้ให้กับผู้สื่อข่าวฟังโดยสังเขป โดยกล่าวว่า ปืนที่ใช้ก่อเหตุ เป็นปืนบีบีกันดัดแปลงซิกซาวเออร์ .380 โดยนายศิวกร คนร้ายซื้อมาจากอินเตอร์เน็ตราคา 7,000 บาท และได้เอาไปจำนำกับนายวงศกร ในราคา 7,500 บาท แล้วยังบอกอีกว่า จุดนี้ตัวของนางสาวนันทกานต์มีการแย่งปืนจากนายศิวกร รอบแรก แล้วขว้างลงคลองเล็ก ๆ ใกล้กับจุดที่พบคราบเลือด แต่นายศิวกร ลงไปหยิบกลับคืนมา และบังคับให้นางสาวนันทกานต์ กับลูก 7 ขวบ ขึ้นรถไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ โดยใช้ปืนจี้

ตำรวจระบุว่า การขายทอง มีหลักฐานเป็นสลิปที่ทางร้านโอนเงินให้กับนายศิวกร ส่วนทองที่นายศิวกรได้ไป คือทองของนางสาวนันทกานต์ ผู้เสียชีวิต น้ำหนัก 3 บาท ขายได้เงินมา 123,500 บาท ทางร้านโอนให้ 120,000 บาทและอีก 3,500 บาทให้เป็นเงินสด

ส่วนจุดอื่นๆ อาทิจุดยิงนางสาวนันทกานต์และลูก เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำแผน เนื่องจากเกรงว่าครอบครัวผู้ตายและชาวบ้านจะตามมารุมประชาทัณฑ์

ด้านนายบอล หรือโป๊งเหน่ง (น้องชายของ น.ส.นันทกานต์ หรือ แจง ) และเพื่อนของนายโน๊ต เดินทางมาดูการทำแผนฯในครั้งนี้ กล่าวประณามการกระทำของผู้ก่อเหตุ ยืนยันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ยอก “ทำอะไรไว้ ขอให้ได้อย่างนั้น”

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo