General

สหรัฐ ยอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ แซงหน้าโควิด-19 ครั้งแรก!!

การเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐ แซงหน้าโควิด-19 ครั้งแรก นับตั้งแต่เริ่มการระบาดใหญ่

ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ชี้ว่าในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 25 มกราคม 2568 อัตราการเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่มีสัดส่วนสูงกว่าการเสียชีวิตจากโควิด-19 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มการระบาดใหญ่ โดยไข้หวัดใหญ่เป็นสาเหตุการเสียชีวิต 1.7% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด ขณะที่โควิด-19 อยู่ที่ 1.5% ข้อมูลเบื้องต้นสำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ชี้ว่าอัตราการเสียชีวิตจากไข้หวัดอาจพุ่งสูงถึง 2% ในขณะที่โควิด-19 ยังคงอยู่ที่ 1.5%

เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่

ฤดูกาลไข้หวัดใหญ่รุนแรงเป็นประวัติการณ์

CDC ประมาณการว่าฤดูกาลนี้มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ระหว่าง 1.3-6.5 หมื่นราย ซึ่งสูงกว่าทั้งฤดูกาลที่ผ่านมาแล้ว ส่วนโควิด-19 มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1.8-3.1 หมื่นราย อัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากไข้หวัดใหญ่อยู่ที่ 4.9 หมื่นรายต่อสัปดาห์ สูงกว่าโควิด-19 ถึง 3 เท่า และนับเป็นคลื่นการติดเชื้อรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

ปัจจัยเร่งการแพร่ระบาด

การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในเด็กลดลงเหลือต่ำกว่า 45% จาก 58% ในปี 2563 ขณะที่การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในกลุ่มผู้สูงอายุกลับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราการป่วยรุนแรงจากโควิดลดลง นอกจากนี้ การไม่เกิดสายพันธุ์ไวรัสโควิดกลายพันธุ์ใหม่ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การระบาดของโควิดอยู่ในวงจำกัด

ความแตกต่างระดับรัฐ

22 รัฐรายงานอัตราการเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สูงกว่าโควิด-19 ติดต่อกันนาน 5 สัปดาห์ โดยรัฐแคลิฟอร์เนีย ฮาวาย วอชิงตัน ออริกอน และไวโอมิง พบอัตราการเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สูงกว่าโควิด-19 ถึง 2 เท่า

ไข้หวัดใหญ่

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

พอล พรินซ์ โฆษก CDC เน้นย้ำความจำเป็นเร่งด่วนในการฉีดวัคซีน โดยระบุว่า ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ควรฉีดทันที ปัจจุบัน 33 รัฐและวอชิงตัน ดี.ซี. ยังคงมีระดับการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ในระดับ สูงมาก

แม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลง แต่การเฝ้าระวังยังจำเป็น ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่าวัคซีนยังเป็นอาวุธสำคัญที่สุดในการลดความรุนแรงของโรคและป้องกันการเสียชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูงอย่างเด็กและผู้สูงอายุ

การเพิ่มขึ้นของอัตราการเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ในฤดูกาล 2024-2025 เกิดจากหลายปัจจัยที่เชื่อมโยงกันตามข้อมูลด้านสาธารณสุขและความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ:

1. ภูมิคุ้มกันหมู่ลดต่ำลง

  • มาตรการป้องกันยุคโควิด-19 (การสวมหน้ากาก การเว้นระยะห่าง) กดการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่เป็นเวลา 2–3 ปี ทำให้ประชากรขาดการสัมผัสเชื้อเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ
  • ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนต่ำลง: มีเด็กเพียง 45% และผู้ใหญ่ 42% ที่รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในฤดูกาลนี้ ลดลงจากช่วงก่อนเกิดโรคระบาดที่ 58% และ 48% ตามลำดับ

2. การแพร่ระบาดของหลายสายพันธุ์พร้อมกัน

  • สี่สายพันธุ์หลัก (H1N1, H3N2 และสายพันธุ์ B 2 สายพันธุ์) กำลังแพร่กระจาย ทำให้วัคซีนตรงกับสายพันธุ์ได้ยาก
  • ไม่มีสายพันธุ์ใดโดดเด่น ลดโอกาสการเกิดภูมิคุ้มกันข้ามสายพันธุ์จากการติดเชื้อหรือวัคซีนครั้งก่อน

ผู้ป่วย

3. การใช้ยาต้านไวรัสล่าช้า

  •  มีผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงเพียง 35% ที่ได้รับ โอเซลทามิเวียร์ (ทามิฟลู) ภายใน 48 ชั่วโมงอันสำคัญ ตามข้อมูล CDC
  • ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรุนแรงของโรคและปัญหาการเข้าถึงการรักษาทำให้การรักษาล่าช้า เพิ่มความเสี่ยงเสียชีวิต

4. ระบบสาธารณสุขรับมือไม่ไหว

  • โรงพยาบาลเผชิญกับ สามโรคระบาดพร้อมกัน (ไข้หวัดใหญ่ + RSV + โควิด-19) ทำให้การดูแลผู้ป่วยรุนแรงล่าช้า
  • การขาดแคลนบุคลากรและเตียงผู้ป่วยเต็มกว่า 90% ใน 18 รัฐ ลดศักยภาพการรักษาทันท่วงที

5. เปลี่ยนพฤติกรรมหลังยุคระบาด

  • การสวมหน้ากากน้อยลง (มีชาวอเมริกันเพียง 12% ที่สวมเป็นประจำ) และการรวมตัวในที่ปิดเพิ่มขึ้น เร่งการแพร่เชื้อ
  • ภูมิต้านทานต่ำสะสม: เด็กต่ำกว่า 5 ปีซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง มีการสัมผัสเชื้อไข้หวัดใหญ่น้อยมากในช่วงระบาด ทำให้ติดเชื้อง่ายและอาการรุนแรง

6. ประสิทธิภาพวัคซีนลดลง

  • วัคซีนฤดูกาลนี้มี ประสิทธิภาพประมาณ 40% ต่อสายพันธุ์ H3N2 ซึ่งเป็นสาเหตุของการรักษาตัวในโรงพยาบาล 55%
  • กรอบเวลาการผลิตวัคซีน (อ้างอิงข้อมูลจากซีกโลกใต้) ทำให้บางส่วนไม่ตรงกับสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดจริง

ผลกระทบด้านสาธารณสุข

CDC ประเมินว่าไข้หวัดใหญ่ทำให้เกิด การเจ็บป่วย 4.8 ล้านราย และ การนอนโรงพยาบาล 4.1 หมื่นราย ในฤดูกาลนี้ โดยอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าเกณฑ์ฐานปี 2019-2020 ถึง 2.3 เท่า ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่าวัคซีนยังเป็นเครื่องมือป้องกันที่ดีที่สุด ลดความเสี่ยงนอนโรงพยาบาลได้ 40–60% แม้ในปีที่วัคซีนไม่ตรงสายพันธุ์

ที่มา: ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ศูนย์สนับสนุนพันธกิจ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล 

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo