General

‘ไข้หวัดนก H5N1’ ความร่วมมือระดับโลกและบทบาทของไทย

ถอดรหัสพันธุกรรม สู่การรับมือไข้หวัดนก H5N1 ความร่วมมือระดับโลกและบทบาทของไทย

สถานการณ์การระบาดของไข้หวัดนกในสหรัฐ ทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อพฤศจิกายน 2567 รัฐแคลิฟอร์เนียรายงานพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดนก H5N1 รายแรกในเขตลอสแองเจลิส ผู้ป่วยเป็นผู้ใหญ่ที่สัมผัสกับปศุสัตว์ติดเชื้อจากการทำงาน แม้จะมีอาการไม่รุนแรงและกำลังฟื้นตัวที่บ้านหลังได้รับยาต้านไวรัส แต่กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่กำลังทวีความซับซ้อน

ไข้หวัดนก H5N1

การระบาดครั้งนี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ไวรัส H5N1 แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในแคลิฟอร์เนีย กระทบทั้งนกป่า สัตว์ปีกในบ้านเรือน และฝูงวัวนม ส่งผลให้อุตสาหกรรมปศุสัตว์ต้องคัดทิ้งสัตว์จำนวนมาก และห่วงโซ่การผลิตหยุดชะงัก นอกจากนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อในมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยพบผู้ป่วยยืนยันแล้วอย่างน้อย 65 รายทั่วประเทศ เฉพาะในแคลิฟอร์เนียมีถึง 36 ราย

ด้วยความรุนแรงของสถานการณ์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom จึงประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือ การประกาศดังกล่าวช่วยให้หน่วยงานรัฐมีความยืดหยุ่นและทรัพยากรเพิ่มเติมในการจัดการวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สถานการณ์ยิ่งน่ากังวลมากขึ้น เมื่อ CDC รายงานพบผู้ป่วยอาการรุนแรงรายแรกในรัฐลุยเซียนา ซึ่งติดเชื้อจากการสัมผัสนกบริเวณบ้าน อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังยืนยันว่าความเสี่ยงต่อประชาชนทั่วไปยังอยู่ในระดับต่ำ และยังไม่พบการแพร่เชื้อจากคนสู่คน ทั้งนี้ มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อควบคุมการระบาด

สถานการณ์การระบาดของไข้หวัดนกในประเทศไทย

ประเทศไทยเผชิญกับการระบาดของไข้หวัดนกครั้งใหญ่ในช่วงปี 2547-2549 โดยพบผู้ติดเชื้อยืนยัน 25 ราย และเสียชีวิต 17 ราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 68 การระบาดครั้งนั้นส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ปีก

1. ผลกระทบด้านการผลิต

  • เกษตรกรต้องทำลายสัตว์ปีกกว่า 62 ล้านตัว
  • ฟาร์มเลี้ยงไก่จำนวนมากต้องปิดกิจการชั่วคราว
  • ผลผลิตไก่เนื้อลดลง 30-40%

2. ผลกระทบด้านการส่งออก

  • มูลค่าการส่งออกสินค้าสัตว์ปีกลดลงกว่า 3 หมื่นล้านบาท
  • ประเทศคู่ค้าสำคัญระงับการนำเข้าสัตว์ปีกจากไทย
  • ส่วนแบ่งตลาดส่งออกไก่ของไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

3. ผลกระทบต่อการจ้างงาน

  • แรงงานในอุตสาหกรรมสัตว์ปีกกว่า 5 แสนคนได้รับผลกระทบ
  • เกิดการว่างงานในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น โรงงานแปรรูป การขนส่ง

4. ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว

  • จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง 15-20% ในช่วงการระบาด
  • ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารได้รับผลกระทบทางอ้อม

อย่างไรก็ตาม หลังจากการระบาดครั้งใหญ่ ไทยได้พัฒนาระบบเฝ้าระวังและควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีการปรับปรุงมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์ปีก และพัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับ ทำให้สามารถควบคุมการระบาดในระยะต่อมาได้ดีขึ้น และสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นในตลาดส่งออกได้ในที่สุด

thai

ผลกระทบและความท้าทายต่อประเทศไทย

สถานการณ์การระบาดในสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลายมิติ ทั้งด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และการเฝ้าระวังโรค ประเทศไทยจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่สัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ปีกหรือนกอพยพ หน่วยงานสาธารณสุขต้องให้ความสำคัญกับการซักประวัติการสัมผัสสัตว์และพฤติกรรมเสี่ยงในผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่

ในด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมส่งออกสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์ของไทยอาจได้รับผลกระทบหากเกิดการระบาดในประเทศ อีกทั้งอาจส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยวและการเดินทางระหว่างประเทศหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น

การเตรียมความพร้อมของระบบสาธารณสุขไทย

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ด้านการตรวจ SARS-CoV-2 ด้วยเทคนิค PCR มากกว่า 3ถจ แห่งทั่วประเทศ จะมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับการระบาด โดยสามารถตรวจวินิจฉัยเชื้อได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่สงสัยติดเชื้อสายพันธุ์ H5 ซึ่งมีแนวทางเฉพาะในการเก็บตัวอย่างจากเยื่อบุตาในผู้ที่มีอาการตาแดง

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี และศูนย์ถอดรหัสพันธุกรรมจีโนมอีกหลายแห่งทั่วประเทศมีความสามารถในการถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อไวรัสและจุลชีพต่าง ๆ ทั้งจีโนม และสามารถแชร์ข้อมูลลำดับพันธุกรรมบนฐานข้อมูล GISAID ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลพันธุกรรมของไวรัสไข้หวัดใหญ่และไวรัสโคโรนา รวมถึงไวรัสไข้หวัดนก การแบ่งปันข้อมูลนี้ช่วยให้นักวิจัยทั่วโลกสามารถติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อ วิเคราะห์แนวโน้มการแพร่ระบาด และพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การสร้างฐานข้อมูลจีโนมมนุษย์ (Reference Genome Panel) ของประชากรไทยจะช่วยในการศึกษาความเสี่ยงและความไวต่อการติดเชื้อในประชากรไทย โดยฐานข้อมูลนี้รวบรวมข้อมูลความหลากหลายทางพันธุกรรมของประชากรไทยกว่า 1 หมื่นราย ครอบคลุมทั้งชาติพันธุ์และภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ช่วยให้นักวิจัยสามารถระบุความแตกต่างทางพันธุกรรมส่วนบุคคลที่อาจส่งผลต่อความเสี่ยงในการติดเชื้อ ความรุนแรงของโรค และการตอบสนองต่อการรักษา

ข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาแนวทางการป้องกันและรักษาที่เหมาะสมกับประชากรไทย รวมถึงการออกแบบวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับคนไทย

ประสบการณ์จากการระบาดของโควิด-19 ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาทางพันธุกรรมมนุษย์ในการรับมือกับโรคอุบัติใหม่ ดังจะเห็นได้จากโครงการ COVID Human Genetic Effort (COVID-HGE) ที่เป็นความร่วมมือระดับนานาชาติ นำโดยศาสตราจารย์ ฌอง-ลอรองต์ คาซาโนวา และศาสตราจารย์ เชียน จาง จากมหาวิทยาลัย Rockefeller และ INSERM

โครงการนี้ได้รวบรวมศูนย์ถอดรหัสพันธุกรรมกว่า 50 แห่งและโรงพยาบาลหลายร้อยแห่งทั่วโลก พร้อมด้วยอาสาสมัครมากกว่า 5 หมื่นคน เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรมของมนุษย์กับความรุนแรงของโรค

ในส่วนของประเทศไทย ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้เข้าร่วมโครงการด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมของผู้ติดเชื้อชาวไทย 100 ราย ที่มีอาการแตกต่างกันตั้งแต่ไม่มีอาการจนถึงอาการรุนแรง การศึกษานี้ช่วยให้เข้าใจสาเหตุของความแตกต่างในการตอบสนองต่อเชื้อไวรัสและนำไปสู่การพัฒนาวิธีการป้องกันและรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

บทเรียนและความสำเร็จจากโครงการ COVID-HGE จะเป็นต้นแบบสำคัญในการรับมือกับการระบาดของไข้หวัดนกและโรคอุบัติใหม่อื่นๆ ในอนาคต

แนวทางการรับมือในอนาคต

ประเทศไทยควรดำเนินการในหลายด้านเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการระบาดที่อาจเกิดขึ้น โดยนำบทเรียนจากความสำเร็จของโครงการ COVID-HGE และ GISAID มาประยุกต์ใช้

1. สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับไวรัส H5N1 ตามแนวทางของ COVID-HGE ที่ประสบความสำเร็จในการค้นพบยีน TLR7, TYK2 และ PPP1R15A ซึ่งมีผลต่อความรุนแรงของโควิด-19 โดยเฉพาะการศึกษาการกลายพันธุ์และการพัฒนาวัคซีน พร้อมทั้งเร่งถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสไข้หวัดนก H5N1 และแชร์ข้อมูลบน อย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายเฝ้าระวังระดับโลก การแบ่งปันข้อมูลนี้จะช่วยให้นักวิจัยทั่วโลกสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของเชื้อและพัฒนาวัคซีนที่เหมาะสมกับพันธุกรรมของประชากรไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศในการศึกษาวิจัยทางพันธุกรรม โดยใช้โมเดลความร่วมมือแบบ COVID-HGE ที่สามารถรวบรวมข้อมูลจากอาสาสมัครทั่วโลกกว่า 5 หมื่นคน และ ฐานข้อมูล GISAID จำนวน 17,123,872 ไวรัสจีโนม (ธันวาคม 2567) จากอาสาสมัครทั่วโลก และนำไปสู่การค้นพบแนวทางการรักษาใหม่ๆ

3. เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการนำเข้าสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์ ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมมาใช้ในการตรวจคัดกรอง

4. ยกระดับการเฝ้าระวังในระดับชุมชนและฟาร์มสัตว์ปีก โดยใช้ความรู้ด้านพันธุกรรมในการระบุกลุ่มเสี่ยงและพื้นที่เสี่ยง

5. ประยุกต์ใช้ผลการศึกษาจาก COVID-HGE ที่พบความเชื่อมโยงระหว่างยีนกับระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อพัฒนาแนวทางการป้องกันและรักษาโรคไข้หวัดนกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การเรียนรู้จากประสบการณ์ของแคลิฟอร์เนียและความสำเร็จของโครงการ COVID-HGE และ GISAID จะช่วยให้ไทยเตรียมพร้อมรับมือกับการระบาดในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้องค์ความรู้ด้านพันธุกรรมในการพัฒนาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับประชากรไทย ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค

ที่มา: Center for Medical Genomics ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี

อ่านข่าวเพิ่มเติม

 

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo