General

เปิดสาเหตุ โรคไอกรนกลับมาระบาด บทเรียนจากโรงเรียน-3 จังหวัดใต้

วัคซีนไม่ครบ ภูมิคุ้มกันไม่พอ ส่งผลให้โรคไอกรนกลับมาระบาด บทเรียนจากโรงเรียนกรุงเทพฯ และ 3 จังหวัดชายแดนใต้

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics  ระบุว่า วัคซีนไม่ครบ ภูมิคุ้มกันไม่พอ ส่งผลให้โรคไอกรนกลับมาระบาด: บทเรียนจากโรงเรียนกรุงเทพฯ และ 3 จังหวัดชายแดนใต้

ไอกรน

การระบาดของโรคไอกรนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16 กันยายน ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 โดยพบผู้ป่วย 20 คน ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย โดยเฉพาะชั้น ม.5 และทีมบาสเก็ตบอล ผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรงเนื่องจากได้รับวัคซีนครบ แต่อาจยังไม่ได้รับเข็มกระตุ้นหลังอายุ 10 ปี

การแพร่เชื้อเกิดขึ้นในกลุ่มที่ทำกิจกรรมร่วมกัน โดยแพร่สู่คนในบ้านน้อย มาตรการควบคุมรวมถึงการปิดโรงเรียน 2 สัปดาห์ การให้ยาป้องกันผู้สัมผัสใกล้ชิด และการเฝ้าระวังถึงสิ้นปี มีการสอบสวนโรคโดยกรมควบคุมโรคและสำนักอนามัย กทม.

กรณีนี้จัดเป็น โรคระบาด (Epidemic) ระดับท้องถิ่น เนื่องจากมีการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยอย่างรวดเร็วในพื้นที่จำกัด ไม่ใช่ การระบาดใหญ่ (Pandemic) หรือ โรคประจำถิ่น (Endemic)

ไอกรนมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ บอร์เดเทลลา เพอร์ทัสซิส (Bordetella pertussis) ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1906 โดยจูลส์ บอร์เดต์ (Jules Bordet) และออกตาฟ เจงกู (Octave Gengou) ทั้งสองสามารถเพาะเชื้อ บี. เพอร์ทัสซิส (B. pertussis) ได้สำเร็จ และต่อมาได้ตั้งชื่อแบคทีเรียชนิดนี้ว่า บอร์เดเทลลา เพอร์ทัสซิส (Bordetella pertussis) เพื่อเป็นเกียรติแก่จูลส์ บอร์เดต์ (Jules Bordet)

คำว่า pertussis มาจากภาษาลาติน โดยมีความหมายที่เกี่ยวข้องกับอาการของโรคไอกรน โดย Per แปลว่า อย่างมาก หรือ อย่างรุนแรง และ Tussis แปลว่า ไอ

การพบผู้ป่วยโรคไอกรน 20 คนที่โรงเรียนแห่งนี้ในกรุงเทพมหานคร สามารถจัดเป็นการระบาด (Epidemic) ในระดับท้องถิ่นหรือชุมชน ด้วยเหตุผลหลายประการ

ประการแรก มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว จาก 5 รายในช่วงแรกเป็น 20 รายในเวลาไม่นาน ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของการระบาด (Epidemic) ที่มีการแพร่กระจายของโรคอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ

โรคไอกรนกลับมาระบาดครั้งนี้ เกิดขึ้นในกลุ่มประชากรเฉพาะ คือกลุ่มนักเรียนของโรงเรียนเดียวกัน โดยเฉพาะในทีมบาสเก็ตบอล ซึ่งเป็นลักษณะของการระบาด (Epidemic) ที่มักจำกัดอยู่ในพื้นที่หรือประชากรเฉพาะ

ประการที่สอง จำนวนผู้ป่วยที่พบ 20 รายในโรงเรียนเดียวถือว่าเป็นจำนวนที่สูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นลักษณะของการระบาด (Epidemic) ที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ต้องมีการดำเนินมาตรการควบคุมเฉพาะ เช่น การประกาศปิดโรงเรียนชั่วคราวเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ไม่ปกติ

กรณีนี้ไม่จัดเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) เนื่องจากโรคประจำถิ่นหมายถึงโรคที่พบได้เป็นประจำในพื้นที่หรือประชากรกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยมีจำนวนผู้ป่วยคงที่หรือเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยตามฤดูกาล ซึ่งไม่ตรงกับกรณีนี้ที่มีการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยอย่างรวดเร็วและผิดปกติ แม้ว่าโรคไอกรนอาจถือเป็นโรคประจำถิ่นในประเทศไทย แต่การพบผู้ป่วยจำนวนมากในพื้นที่จำกัดและในระยะเวลาสั้นเช่นนี้ ไม่ใช่ลักษณะปกติของโรคประจำถิ่น

ไอกรน1

นอกจากนี้ กรณีนี้ไม่จัดเป็นการระบาดใหญ่ (Pandemic) เนื่องจากการระบาดใหญ่หมายถึงการแพร่กระจายของโรคในวงกว้างระดับทวีปหรือทั่วโลก ซึ่งกรณีนี้เกิดขึ้นเฉพาะในโรงเรียนแห่งเดียวเท่านั้น อีกทั้งการระบาดใหญ่มักเกิดจากเชื้อโรคชนิดใหม่ที่ประชากรส่วนใหญ่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ในขณะที่โรคไอกรนเป็นโรคที่รู้จักกันดีและมีวัคซีนป้องกัน และการระบาดใหญ่มักส่งผลกระทบต่อประชากรจำนวนมากในหลายประเทศพร้อมกัน ซึ่งไม่ใช่กรณีนี้

ดังนั้น การระบาดของโรคไอกรนในโรงเรียนแห่งนี้ จึงจัดเป็นการระบาด (Epidemic) ในระดับท้องถิ่นหรือชุมชน ที่ต้องได้รับการจัดการและควบคุมอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันการแพร่กระจายในวงกว้างต่อไป

ส่วนการระบาดของโรคไอกรนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเป็นการระบาด (Epidemic) ในระดับภูมิภาค ด้วยเหตุผลดังนี้

1. จำนวนผู้ป่วยสูงผิดปกติ: พบผู้ป่วยที่สงสัยเข้าข่ายติดเชื้อโรคไอกรนรวม 183 ราย คิดเป็น 3.6 ต่อแสนประชากร ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในจังหวัดปัตตานี (92 ราย) และนราธิวาส (79 ราย)

2. การแพร่กระจายในวงกว้าง: การระบาดครอบคลุมพื้นที่หลายจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 12 ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงชุมชนเดียว

3. ผลกระทบรุนแรง: มีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ปอดอักเสบ 23 ราย และมีรายงานผู้เสียชีวิต 2 ราย

4. การตอบสนองระดับประเทศ: มีการดำเนินการควบคุมโรคโดยหน่วยงานระดับประเทศ เช่น กรมควบคุมโรค และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

5. ความผิดปกติของการระบาด: โรคไอกรนเป็นโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน การพบผู้ป่วยจำนวนมากในพื้นที่ถือเป็นเหตุการณ์ผิดปกติ

อย่างไรก็ตาม การระบาดนี้ไม่ถือเป็นการระบาดใหญ่ (Pandemic) เนื่องจากยังจำกัดอยู่ในพื้นที่เฉพาะและไม่ได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศหรือทั่วโลก และไม่ใช่โรคประจำถิ่น (Endemic) เพราะมีการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยอย่างผิดปกติและรวดเร็ว

การระบาดครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความครอบคลุมของวัคซีนต่ำ เช่น ในจังหวัดปัตตานีที่มีความครอบคลุมของวัคซีนไม่ถึง 70% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายระดับประเทศที่ควรครอบคลุมถึง 90% ขึ้นไป

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo