General

ไข้หวัดนก H5N1 ในรัฐมิสซูรี เป็นทั้งความท้าทายและความกังวล หวั่นแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์

ศูนย์จีโนมฯ ชี้ความท้าทายใหม่และความกังวลเรื่องการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์ จากกรณีไข้หวัดนก H5N1 ในรัฐมิสซูรี

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics  ระบุว่า กรณีไข้หวัดนก H5N1 ในรัฐมิสซูรี: ความท้าทายใหม่และความกังวลเรื่องการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์

ไข้หวัดนก H5N1

ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2567 วงการสาธารณสุขสหรัฐ ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ เมื่อพบผู้ป่วยรายใหม่ที่ติดเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ในรัฐมิสซูรี กรณีนี้นับเป็นครั้งที่ 14 ของการติดเชื้อ H5N1 ในมนุษย์ที่รายงานในสหรัฐในปีนี้ แต่มีความพิเศษตรงที่เป็นกรณีแรกที่ไม่พบประวัติการสัมผัสกับสัตว์ป่วยหรือติดเชื้อจากการทำงาน

รายละเอียดผู้ป่วยและอาการ

ผู้ป่วยเป็นผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัว และถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการที่หลากหลาย ได้แก่ เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และอ่อนเพลีย ทีมแพทย์ได้ให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัส ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นและแพทย์อนุญาติให้กลับบ้านได้ในเวลาต่อมา

ความท้าทายในการสืบสวนโรค

สิ่งที่ทำให้กรณีนี้น่าสนใจเป็นพิเศษคือ การไม่พบแหล่งที่มาของการติดเชื้อที่ชัดเจน ผู้ป่วยไม่มีประวัติสัมผัสกับนกป่า สัตว์ปีก หรือวัว และไม่มีรายงานการบริโภคผลิตภัณฑ์นมดิบ อย่างไรก็ตาม การถอดรหัสพันธุกรรมของตัวอย่างไวรัสแสดงให้เห็นว่ามีความใกล้เคียงกับสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดในวัวนมในสหรัฐ

ผลการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมยืนยันว่า เชื้อไวรัสในกรณีนี้เป็น H5N1 clade 2.3.4.4b ซึ่งพบในไข้หวัดนกที่แพร่ในวัวนม ข้อมูลนี้เพิ่มความน่าสนใจให้กับกรณีนี้ เนื่องจากแสดงถึงความเฉพาะเจาะจงของสายพันธุ์ที่พบในผู้ป่วยรายนี้

นักวิจัยยังพบการแทนที่กรดอะมิโนสองตำแหน่งในลำดับฮีแมกกลูตินิน (HA) ซึ่งไม่เคยพบในกรณีของมนุษย์ที่ติดเชื้อไข้หวัดนกรายอื่นมาก่อน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่พบการกลายพันธุ์ที่อาจลดความไว (sensitivity) ต่อยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่หรือการกลายพันธุ์ที่อาจนำไปสู่การแพร่กระจายระหว่างมนุษย์ที่เพิ่มขึ้น

การติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดและความกังวลเรื่องการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์

ในการสอบสวนโรค พบข้อมูลที่น่ากังวลเกี่ยวกับผู้สัมผัสใกล้ชิด ซึ่งเพิ่มความเป็นไปได้ของการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์สู่มนุษย์

1. ภรรยาของผู้ป่วยป่วยในเวลาเดียวกัน แต่ไม่ได้รับการตรวจหาเชื้อไข้หวัดใหญ่:

  • ภรรยาของผู้ป่วยแสดงอาการคล้ายกับผู้ป่วยในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อจากแหล่งเดียวกันหรือการแพร่เชื้อระหว่างคู่สมรส (คนสู่คน)
  • การที่ไม่ได้รับการตรวจหาเชื้อไข้หวัดใหญ่เป็นช่องว่างสำคัญในการสอบสวนโรค เนื่องจากทำให้ไม่สามารถยืนยันหรือปฏิเสธการติดเชื้อ H5N1 ในภรรยาได้
  • กรณีนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองผู้สัมผัสใกล้ชิดทุกรายอย่างละเอียด โดยเฉพาะเมื่อพบการติดเชื้อที่มีความเสี่ยงสูง

2. บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ป่วยและภรรยาก็มีอาการป่วยเช่นกัน แต่ผลการตรวจเป็นลบ:

  • การที่บุคลากรทางการแพทย์มีอาการป่วยหลังจากสัมผัสกับผู้ป่วยและภรรยา เป็นสัญญาณที่น่ากังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการแพร่เชื้อจากคนสู่คนในสถานพยาบาล
  • แม้ว่าผลการตรวจจะเป็นลบ แต่ก็ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ของการติดเชื้อออกไปทั้งหมด เนื่องจากอาจเกิดจากการเก็บตัวอย่างที่ไม่เหมาะสม หรือการตรวจในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม
  • กรณีนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) อย่างเคร่งครัดในการดูแลผู้ป่วยที่สงสัยว่าติดเชื้อ H5N1 และความจำเป็นในการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ป่วย

3 4

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ ได้ยอมรับข้อเท็จจริงนี้ ซึ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์สู่มนุษย์

ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเสนอแนะว่า ผู้สัมผัสใกล้ชิดควรได้รับการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อ H5N1 โดยทันที เพื่อยืนยันหรือปฏิเสธการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์ การดำเนินการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินความเสี่ยงและวางแผนมาตรการควบคุมโรคที่เหมาะสม ต่อไปนี้คือรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสำคัญของ

การตรวจหาแอนติบอดี

1. การยืนยันการติดเชื้อ:

  • การตรวจหาแอนติบอดีสามารถระบุได้ว่าบุคคลนั้นเคยติดเชื้อ H5N1 มาก่อนหรือไม่ แม้ว่าจะไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย
  • สามารถตรวจพบการติดเชื้อที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งอาจไม่สามารถตรวจพบด้วยวิธีการตรวจหาเชื้อโดยตรง เช่น PCR

2. ประเมินการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์:

  • หากพบแอนติบอดีในผู้สัมผัสใกล้ชิดที่ไม่มีประวัติสัมผัสกับสัตว์ติดเชื้อ อาจบ่งชี้ถึงการแพร่เชื้อจากมนุษย์สู่มนุษย์
  • ข้อมูลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินความสามารถในการแพร่เชื้อของไวรัสระหว่างมนุษย์

3. ประเมินขอบเขตของการแพร่เชื้อ:

  • การตรวจแอนติบอดีในผู้สัมผัสใกล้ชิดทั้งหมดจะช่วยให้เข้าใจว่ามีการแพร่เชื้อในวงกว้างเพียงใด
  • ข้อมูลนี้จะช่วยในการวางแผนมาตรการควบคุมโรคที่เหมาะสมกับสถานการณ์จริง

4. ตรวจสอบประสิทธิภาพของมาตรการป้องกัน:

  • ผลการตรวจแอนติบอดีในบุคลากรทางการแพทย์จะช่วยประเมินประสิทธิภาพของอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) และมาตรการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล

5. เตรียมพร้อมรับมือการระบาดในอนาคต:

  • การเข้าใจรูปแบบการแพร่เชื้อผ่านการตรวจแอนติบอดีจะช่วยในการพัฒนาแผนรับมือการระบาดในอนาคต
  • ข้อมูลนี้อาจนำไปสู่การปรับปรุงนโยบายสาธารณสุขและแนวทางการป้องกันโรค

6. การพัฒนาวัคซีนและการรักษา:

  • การศึกษาแอนติบอดีในผู้ที่หายจากโรคอาจช่วยในการพัฒนาวัคซีนและการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การดำเนินการตรวจหาแอนติบอดีโดยทันทีมีความสำคัญ 

  • สามารถระบุการติดเชื้อได้เร็วที่สุด ก่อนที่แอนติบอดีจะลดลงตามเวลา
  • ช่วยในการควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างทันท่วงที หากพบว่ามีการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์
  • ลดความเสี่ยงในการสูญเสียข้อมูลสำคัญจากผู้สัมผัสที่อาจไม่สามารถติดตามได้ในภายหลัง

ด้วยเหตุนี้ การตรวจหาแอนติบอดีในผู้สัมผัสใกล้ชิดจึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการประเมินความเสี่ยงและการวางแผนมาตรการควบคุมโรคที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของเชื้อ H5N1 ซึ่งมีความเสี่ยงสูงและอาจก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสาธารณสุข

การตอบสนองของหน่วยงานสาธารณสุข

แม้ว่า CDC ยังคงยืนยันว่าความเสี่ยงต่อประชาชนทั่วไปยังอยู่ในระดับต่ำ แต่หน่วยงานนี้กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและดำเนินการสอบสวนต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของการแพร่เชื้อระหว่างมนุษย์

CDC ได้ประกาศความร่วมมือกับบริษัทห้องปฏิบัติการเชิงพาณิชย์ห้าแห่ง เพื่อพัฒนาและดำเนินการทดสอบ H5N1 และไวรัสอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยจัดสรรเงินทุนเริ่มต้นอย่างน้อย 5 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการนี้ ความร่วมมือนี้อาจมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการตรวจหาแอนติบอดีที่จำเป็นสำหรับการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo