General

CDC สหรัฐ เฝ้าระวังเข้มข้น-เร่งตรวจสอบ หลังพบ ‘ไข้หวัดนก H5N1′ รายแรกของโลก ติดเชื้อจากคนสู่คน

CDC สหรัฐ เฝ้าระวังเข้มข้น-เร่งตรวจสอบ หลังพบ “ไข้หวัดนก H5N1” รายแรกของโลก ติดเชื้อจากคนสู่คน ชี้สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติการเฝ้าระวัง

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุว่า CDC สหรัฐเฝ้าระวัง และเร่งสืบสวนที่มาของโรค หลังยืนยันพบ ผู้ป่วยไข้หวัดนก H5N1 รายแรกของโลกที่แพร่ระหว่างคนสู่คน ดังนี้

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ยืนยันพบผู้ป่วยไข้หวัดนก H5(N1) รายแรกที่แพร่ระหว่างคนสู่คนในรัฐมิสซูรี : ความสำคัญต่อวงการสาธารณสุขโลก

ผู้ป่วยรายนี้เป็นรายที่ 14 ในสหรัฐฯ ที่ติดไข้หวัดนกปีนี้ เข้ารักษาตัวใน รพ. เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 และเป็นคนแรกที่ไม่มีประวัติว่าไปสัมผัสสัตว์ที่ไหนมาก่อน รัฐมิสซูรีแจ้งด้วยว่าไม่พบวัวนมติดเชื้อ H5N1 ในรัฐนี้แต่พบ ไข้หวัดนก H5N1 ในฟาร์มไก่ สวนหลังบ้าน และนกป่าบ้าง

ไข้หวัดนก H5N1

เฝ้าระวังเข้มข้น – สืบสวนหาแหล่งที่มาของการติดเชื้อ

แถลงการณ์ เผยแพร่ทันที: 6 กันยายน 2567 โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) หรือ “ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ในสหรัฐอเมริกา ยืนยันพบผู้ป่วยไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5 ในมนุษย์ที่รัฐมิสซูรี ผู้ป่วยรายนี้ถูกตรวจพบผ่านระบบเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่ประจำปีของรัฐ ตัวอย่างถูกส่งมาให้ CDC ตรวจสอบยืนยันตามขั้นตอนปกติ และได้รับการยืนยัน ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขรัฐมิสซูรีกำลังสืบสวนหาแหล่งที่มาของการติดเชื้อ

ข้อมูลผู้ป่วย : กระทรวงสาธารณสุขรัฐมิสซูรีรายงานว่า ผู้ป่วยซึ่งมีโรคประจำตัวเดิมได้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ได้รับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ และออกจากโรงพยาบาลแล้ว โดยอาการดีขึ้น  ที่น่าสนใจคือ ไม่พบประวัติการสัมผัสสัตว์โดยตรงในผู้ป่วยรายนี้ ซึ่งผิดแผกไปจากกรณีไข้หวัดนกในมนุษย์ส่วนใหญ่ที่มักมีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ติดเชื้อสู่คน

รายงานจาก CDC ล่าสุดของการติดเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5 ในมนุษย์ที่มีประวัติสัมผัสสัตว์ในสหรัฐ มีดังนี้

  • คนงานในฟาร์มโคนม: พบ 4 รายระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึง 3 กรกฎาคม 2567
  • คนงานในฟาร์มสัตว์ปีก: พบ 10 รายระหว่างวันที่ 28 เมษายน 2565 ถึง 25 กรกฎาคม 2567

กรณีการติดเชื้อในมนุษย์เหล่านี้น่ากังวลเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นตัวอย่างของการแพร่เชื้อจากสัตว์สู่คน

แต่กรณีผู้ติดเชื้อ H5 รายล่าสุดที่ไม่พบประวัติสัมผัสสัตว์นี้อาจบ่งชี้ถึง

  1. การติดเชื้อจากแหล่งที่ไม่คาดคิด เช่น การสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนเชื้อ
  2. ความเป็นไปได้ของการแพร่เชื้อจากคนสู่คน ซึ่งยังต้องการการสืบสวนเพิ่มเติม
  3. ความจำเป็นในการเพิ่มความเข้มข้นของการเฝ้าระวังในชุมชน

อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบการแพร่เชื้อ H5 จากผู้ที่ติดเชื้อไปยังผู้ใกล้ชิดหรือบุคคลอื่น ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าพอใจในแง่ของการควบคุมการระบาด

ไข้หวัดนก H5N1

รายแรกของโลก ติดเชื้อจากคนสู่คน

ผู้ป่วยไข้หวัดนก H5N1 รายแรกของสหรัฐและของโลกที่คาดว่าอาจมีการแพร่ระหว่างคนสู่คนเกิดขึ้นในรัฐมิสซูรี่ นี่เป็นผู้ป่วยรายที่ 14 ที่ติดเชื้อไข้หวัดนก H5N1 ในสหรัฐอเมริกาในปี 2567 และเป็นรายแรกที่ไม่พบประวัติการสัมผัสสัตว์ป่วยหรือติดเชื้อจากการทำงานในฟาร์ม

ในรัฐมิสซูรี่ไม่พบการระบาดของ H5N1 ในวัว แต่พบการระบาดในฟาร์มสัตว์ปีกทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กในปี 2567 นอกจากนี้ ยังเคยพบเชื้อไข้หวัดนก H5N1 ในนกป่าในรัฐนี้มาก่อน

แม้ว่าจะเคยพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ผ่านระบบเฝ้าระวังระดับชาติมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ระบบนี้พบผู้ป่วย H5 ก่อนหน้านี้ การตรวจพบผู้ป่วย H5 ทั้งหมดเกิดจากการเฝ้าระวังเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาดในสัตว์ ในกรณีนี้ ตัวอย่างจากผู้ป่วยให้ผลบวกต่อไข้หวัดใหญ่ A แต่ให้ผลลบต่อไข้หวัดใหญ่ A ตามฤดูกาลทุกสายพันธุ์ย่อย จึงนำไปสู่การตรวจเพิ่มเติมด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสทั้งจีโนม

CDC ยังคงติดตามข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในรัฐที่ได้รับผลกระทบ และยังไม่พบความผิดปกติของไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ รวมถึงในรัฐมิสซูรี เม็กซิโก มิถุนายน 2567 พบผู้ป่วย H5N2 ในมนุษย์รายแรกของโลก อายุ 59 ปี เสียชีวิต ไม่มีประวัติสัมผัสสัตว์

ทั้งสองกรณีแสดงถึงการพัฒนาของไวรัสไข้หวัดนก เน้นความสำคัญของการเฝ้าระวัง แม้ความเสี่ยงต่อสาธารณะยังต่ำ

เอนไซม์สำคัญในไวรัสไข้หวัดใหญ่: ฮีแมกกลูตินิน (H) และนิวรามินิเดส อยู่บริเวณส่วนผิวของอนุภาคไวรัส

  1. หน้าที่:

H: จับกับตัวรับบนเซลล์เจ้าบ้าน ช่วยให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์

N: ช่วยให้ไวรัสหลุดออกจากเซลล์ที่ติดเชื้อและแพร่กระจายไปยังเซลล์ข้างเคียง

  1. กลไก:

H: จับกับกรดไซอาลิกบนผิวเซลล์เจ้าบ้าน

N: ตัดพันธะระหว่างไวรัสกับเซลล์เจ้าบ้าน

  1. ความสำคัญทางการแพทย์:

-ทั้ง H และ N เป็นเป้าหมายในการพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัส

-ใช้ในการจำแนกประเภทไวรัสไข้หวัดใหญ่

  1. การกลายพันธุ์:

-การเปลี่ยนแปลงใน H และ N อาจทำให้เกิดสายพันธุ์ใหม่

-ส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน ยาต้านไวรัส และความรุนแรงของโรค

  1. การตั้งชื่อ:

-ใช้ร่วมกันในการระบุสายพันธุ์ไวรัสไข้หวัดใหญ่ เช่น H5N1, H1N1

-ทั้ง H และ N มีบทบาทสำคัญในวงจรชีวิตของไวรัสและเป็นเป้าหมายหลักในการศึกษาและพัฒนาวิธีการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดใหญ่ในนก

458712412 1270055681000342 1425212654725669497 n

สำคัญต่อการประกาศการเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติการเฝ้าระวัง

จากข้อมูลที่มีอยู่ CDC ประเมินว่าความเสี่ยงต่อประชาชนทั่วไปจาก H5N1 ยังอยู่ในระดับต่ำ คำแนะนำของ CDC เกี่ยวกับไวรัส H5 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงเร็วเมื่อมีข้อมูลใหม่ ผลการสืบสวนครั้งนี้มีความสำคัญมาก เนื่องจากยังไม่พบการสัมผัสสัตว์ที่ชัดเจน แม้จะพบได้ยากแต่ก็เคยมีกรณีไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่หาแหล่งที่มาจากสัตว์ไม่ได้

อย่างไรก็ดีสิ่งสำคัญที่สุดคือการตรวจสอบว่าไม่มีการแพร่เชื้อต่อระหว่างมนุษย์สู่มนุษย์ ผลการสืบสวนจะช่วยตัดสินว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติหรือไม่

ทำไม US CDC ถึงรายงานข่าวนี้? CDC มีหน้าที่รายงานข้อมูลด้านสาธารณสุขที่สำคัญแก่ประชาชนสหรัฐ การรายงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ:

  1. ความโปร่งใส: แสดงให้เห็นว่าระบบเฝ้าระวังโรคทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การให้ความรู้: ช่วยให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของโรคติดต่อ
  3. การเตรียมพร้อม: แจ้งให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทราบเพื่อเฝ้าระวังอาการที่เกี่ยวข้อง

ทำไมประชาชนไม่ควรตื่นตระหนก? แม้ว่าการพบผู้ป่วยไข้หวัดนก H5 จะเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ประชาชนทั่วไปไม่ควรตื่นตระหนก เนื่องจาก:

  1. เป็นกรณีเดียว: พบเพียงผู้ป่วย 1 รายเท่านั้น ไม่ใช่การระบาดใหญ่
  2. ไม่พบการแพร่เชื้อ: ยังไม่พบการแพร่เชื้อไปยังผู้ใกล้ชิดหรือบุคคลอื่น
  3. ผู้ป่วยหายดีแล้ว: ผู้ป่วยได้รับการรักษาและออกจากโรงพยาบาลแล้ว
  4. การประเมินความเสี่ยง: CDC ยืนยันว่าความเสี่ยงต่อประชาชนทั่วไปยังอยู่ในระดับต่ำ

Screenshot 2024 09 07 215922

เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรคในไทย

การที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดีนำข้อมูลจากองค์การอนามัย ศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐ ยุโรป และ แอฟริกา มาเผยแพร่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องมีเหตุผลสำคัญหลายประการ:

  1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลระดับโลก:

– โรคติดต่อไม่มีพรมแดน การแชร์ข้อมูลระหว่างประเทศช่วยในการเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือ

– ข้อมูลจากต่างประเทศอาจช่วยคาดการณ์แนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นในไทยได้

  1. ความน่าเชื่อถือของข้อมูล:

– CDC สหรัฐฯ เป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้านการควบคุมโรค

– การอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการรายงานในไทย

  1. การเรียนรู้และพัฒนา:

– ศึกษาวิธีการจัดการและรายงานข้อมูลของ CDC เพื่อพัฒนาระบบในไทย

– เรียนรู้แนวทางการสื่อสารกับสาธารณะในกรณีที่พบโรคอุบัติใหม่

  1. การเตรียมความพร้อม:

– ข้อมูลจากต่างประเทศช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ในไทยเตรียมพร้อมรับมือกับโรคที่อาจแพร่เข้ามา

– สร้างความตระหนักในวงการแพทย์ไทยเกี่ยวกับโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้น

  1. ความโปร่งใสและการสร้างความเชื่อมั่น:

– แสดงให้เห็นว่าไทยติดตามสถานการณ์โรคระดับโลกอย่างใกล้ชิด

– สร้างความเชื่อมั่นว่าระบบสาธารณสุขไทยพร้อมรับมือกับภัยคุกคามด้านสุขภาพ

  1. การสร้างความตระหนักรู้ในสังคม:

– ให้ข้อมูลแก่ประชาชนเพื่อเตรียมพร้อมโดยไม่ตื่นตระหนก

– ส่งเสริมการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคในชีวิตประจำวัน

  1. การสนับสนุนนโยบายสาธารณสุข:

– ใช้ข้อมูลจากต่างประเทศประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านสาธารณสุขในไทย

– เตรียมมาตรการรับมือล่วงหน้าหากพบว่ามีความเสี่ยงที่โรคจะแพร่เข้ามาในประเทศ

การนำเสนอข้อมูลจาก CDC สหรัฐฯ จึงเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานเชิงรุกด้านสาธารณสุข เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรคในประเทศไทย

อ่านข่าวเเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo