General

WHO เตือน ไวรัสไข้หวัดนก H5N1 ผสมข้ามกลุ่มสายพันธุ์ หวั่นแพร่เร็ว-รุนแรงขึ้น

ศูนย์จีโนมฯ เผย WHO เตือนการผสมข้ามกลุ่มสายพันธุ์ ของไวรัสไข้หวัดนก H5N1 ระหว่าง Clades 2.3.2.1c และ 2.3.4.4b ในกัมพูชา อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของไวรัส ด้านการแพร่กระจายและความรุนแรงของโรค

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุว่า องค์การอนามัยโลก (WHOเตือน การผสมข้ามกลุ่มสายพันธุ์ (clade) ของไวรัสไข้หวัดนก H5N1 ระหว่าง Clades 2.3.2.1c และ 2.3.4.4b ในกัมพูชา

ไวรัสไข้หวัดนก H5N1

การผสมข้ามกลุ่มสายพันธุ์ (clade) โดยการการเข้าชุดยีนใหม่ (gene reassortment) ระหว่างเชื้อไวรัสไข้หวัดนก A(H5N1) จาก Clade 2.3.2.1c และ Clade 2.3.4.4b ที่พบในผู้ป่วยในกัมพูชา ซึ่งเป็นเด็กอายุ 15 ปีที่เสียชีวิตเมื่อไม่นานมานี้ ได้สร้างความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของไวรัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความสามารถในการแพร่กระจายและความรุนแรงของโรค

โลกเรามีไวรัสไข้หวัดใหญ่หลายสายพันธุ์ย่อย (เช่น H1N1, H5N1, H3N8, H5N6, …) และสำหรับแต่ละสายพันธุ์ย่อย ก็มีหลายกลุ่มสายพันธุ์ (clade) ตัวอย่างเช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ H5N1 มีกลุ่มสายพันธุ์ 2.3.4.4b ที่พบล่าสุดในจีน หรือกลุ่มสายพันธุ์ 2.3.2.1c ในกัมพูชา ยิ่งไวรัสแพร่กระจายมากเท่าไร ก็ยิ่งเกิดการกลายพันธุ์ การรวมตัวกันใหม่ และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและมนุษย์ได้มากขึ้นเท่านั้น

สถานการณ์โดยสังเขป

ในวันที่ 20 สิงหาคม 2567 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รับการแจ้งเตือนจากศูนย์ประสานงานกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulation: IHR) ของกัมพูชา เกี่ยวกับการพบผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ A(H5N1) (สายพันธุ์ย่อย 2.3.2.1c) ในเด็กอายุ 15 ปี และเสียชีวิต กรณีนี้นับเป็นรายที่สองใน 10 รายของผู้ติดเชื้อไวรัส A(H5N1) ในกัมพูชาในปี 2567 นี้

หากนับตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา มีรายงานผู้ติดเชื้อไข้หวัดนก A(H5N1) ในมนุษย์รวมทั้งสิ้น 72 ราย โดยมีผู้เสียชีวิต 43 ราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 59.7% ในประเทศกัมพูชา

การติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ย่อยใหม่ในมนุษย์ถือเป็นเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อสาธารณสุข และจำเป็นต้องรายงานให้ WHO ทราบโดยทันที อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน WHO ประเมินว่าความเสี่ยงต่อประชากรทั่วไปจากไวรัสชนิดนี้ยังคงอยู่ในระดับต่ำ

รายละเอียดของสถานการณ์

เด็กอายุ 15 ปีจากจังหวัดไพรแวง เริ่มแสดงอาการไข้เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2567 และได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในพนมเปญ ซึ่งเป็นสถานพยาบาลที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบเฝ้าระวังโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (Severe Acute Respiratory Infection: SARI) ในวันที่ 17 สิงหาคม ผู้ป่วยมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ และหายใจลำบาก จึงได้รับการรักษาด้วยยา oseltamivir ทันที มีการเก็บตัวอย่างจากโพรงจมูกและลำคอในวันเดียวกัน แต่น่าเศร้าที่ผู้ป่วยเสียชีวิตในวันที่ 20 สิงหาคม

ตัวอย่างที่เก็บได้ถูกนำไปตรวจวิเคราะห์และพบเชื้อไวรัสไข้หวัดนก A(H5N1) โดยสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติกัมพูชา และได้รับการยืนยันผลโดยสถาบันปาสเตอร์แห่งกัมพูชา (Institut Pasteur in Cambodia: IPC) การวิเคราะห์ลำดับพันธุกรรมของยีน haemagglutinin (HA) แสดงให้เห็นว่าไวรัสนี้เป็นสายพันธุ์ย่อย H5 clade 2.3.2.1c อย่างไรก็ตาม ยีนภายในของไวรัสนี้กลับเป็นของ H5 clade 2.3.4.4b ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ผสมที่เพิ่งตรวจพบในผู้ป่วยในกัมพูชาตั้งแต่ปลายปี 2566
การเข้าชุดยีนใหม่ (Gene Reassortment)

ปรากฏการณ์ที่ไวรัสมีคุณสมบัติของทั้ง H5 clade 2.3.2.1c และ H5 clade 2.3.4.4b นี้เกิดจากกระบวนการที่เรียกว่า Gene Reassortment หรือการเข้าชุดยีนใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไวรัสตั้งแต่สองสายพันธุ์ขึ้นไปเข้าไปติดเชื้อในเซลล์เดียวกันและเกิดการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมระหว่างกัน ในกรณีนี้ ไวรัส H5N1 จาก Clade 2.3.2.1c และ Clade 2.3.4.4b อาจได้เข้าไปติดเชื้อในผู้ติดเชื้อรายเดียวกัน ส่งผลให้เกิดการผสมผสานของสารพันธุกรรมที่แตกต่างกันระหว่างสายพันธุ์

ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ ประกอบด้วยยีน haemagglutinin (HA) ที่มาจาก H5 clade 2.3.2.1c ซึ่งเป็นยีนที่กำหนดโครงสร้างภายนอกของไวรัสและมีบทบาทสำคัญในการจับกับเซลล์เจ้าบ้านเพื่อเริ่มกระบวนการติดเชื้อ

ในขณะที่ยีนภายในซึ่งมาจาก H5 clade 2.3.4.4b ประกอบไปด้วยยีนที่ควบคุมการทำงานภายในของไวรัส เช่น ยีน M (matrix protein) ที่มีบทบาทในการสร้างโครงสร้างของไวรัสและการปลดปล่อยไวรัสออกจากเซลล์ที่ติดเชื้อ ยีน NP (nucleoprotein) ที่เกี่ยวข้องกับการจำลองตัวของ RNA และยีน PA, PB1, และ PB2 (polymerase genes) ซึ่งมีส่วนสำคัญในกระบวนการจำลองตัวของไวรัสภายในเซลล์เจ้าบ้าน

ไข้หวัดนก1

การสอบสวนเพิ่มเติม

จากการสืบสวน พบว่ามีรายงานการตายของสัตว์ปีกในหมู่บ้านเกิดขึ้นประมาณ 5 วันก่อนที่เด็กจะเริ่มแสดงอาการป่วย ครอบครัวของผู้ป่วยได้รับไก่ที่ตายเหล่านี้มาเพื่อบริโภค และเด็กได้สัมผัสกับไก่ในระหว่างการเตรียมอาหาร

กรมควบคุมโรคติดต่อของกัมพูชา (CDC) กระทรวงสาธารณสุข และทีมตอบโต้เร็วได้ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม โดยพบผู้สัมผัสใกล้ชิดจำนวน 6 ราย ซึ่งทั้งหมดได้รับยา oseltamivir เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และในขณะนี้ยังไม่พบว่ามีอาการใด ๆ การสอบสวนและมาตรการตอบสนองเพิ่มเติมยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยผลการตรวจตัวอย่างจากไก่และเป็ดในหมู่บ้านยังอยู่ในระหว่างการรอผล

ประวัติการระบาดของไข้หวัดนก A(H5N1) ในกัมพูชา

ไข้หวัดนก A(H5N1) ถูกตรวจพบเป็นครั้งแรกในกัมพูชาเมื่อเดือนธันวาคม 2546 และตั้งแต่นั้นมา มีการรายงานการติดเชื้อในมนุษย์เป็นระยะ ๆ โดยส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ปีกที่ติดเชื้อหรือสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนเชื้อ อย่างไรก็ตาม ในช่วงระหว่างปี 2557 ถึง 2565 ไม่มีรายงานการติดเชื้อ A(H5N1) ในมนุษย์ในประเทศนี้ แต่การติดเชื้อได้กลับมาปรากฏอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 โดยมีรายงานผู้ติดเชื้อ 6 รายในปีนั้น

ระบาดวิทยาและการวินิจฉัยไวรัสไข้หวัดนก H5N1

โดยทั่วไป ไวรัสไข้หวัดนกมักแพร่กระจายระหว่างสัตว์ด้วยกัน แต่ก็สามารถติดต่อสู่มนุษย์ได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ที่ติดเชื้อหรือสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนเชื้อ การติดเชื้อในมนุษย์สามารถก่อให้เกิดอาการได้หลากหลาย ตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการรุนแรงที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานอาการอื่น ๆ เช่น อาการตาอักเสบ อาการทางระบบทางเดินอาหาร สมองอักเสบ และภาวะสมองผิดปกติ

การวินิจฉัยการติดเชื้อไข้หวัดนกในมนุษย์จำเป็นต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยวิธีที่นิยมใช้คือ RT-PCR ซึ่งมีความแม่นยำสูง ในแง่ของการรักษา ยาต้านไวรัสในกลุ่ม neuraminidase inhibitors โดยเฉพาะ oseltamivir และ zanamivir ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการลดระยะเวลาการแพร่เชื้อและเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับผู้ป่วยในหลายกรณี

การวิเคราะห์พันธุกรรมของไวรัสไข้หวัดนก H5N1 สายพันธุ์ใหม่

  • ยีน Haemagglutinin (HA) จาก H5 Clade 2.3.2.1c

ยีน HA ของไวรัสไข้หวัดนก A(H5N1) สายพันธุ์ใหม่ที่ตรวจพบในกัมพูชา มีจุดกำเนิดมาจาก H5 clade 2.3.2.1c ยีนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากเป็นตัวกำหนดหลักในความสามารถของไวรัสในการจับกับและเข้าสู่เซลล์เจ้าบ้าน ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการติดเชื้อ Clade 2.3.2.1c มีลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และมีประวัติเกี่ยวข้องกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่หลายครั้งในอดีต การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในยีน HA อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อวิธีการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจดจำและตอบสนองต่อไวรัส ซึ่งอาจนำไปสู่การลดประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน

  • ยีนภายในจาก H5 Clade 2.3.4.4b

ในขณะที่ยีน HA มาจาก clade 2.3.2.1c ยีนภายในของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้กลับได้รับการถ่ายทอดมาจาก H5 clade 2.3.4.4b ยีนภายในเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการทำงานภายในของไวรัส ประกอบด้วย:

1. ยีน M (matrix protein): มีหน้าที่ในการสร้างโครงสร้างของไวรัสและช่วยในกระบวนการปลดปล่อยอนุภาคไวรัสออกจากเซลล์ที่ติดเชื้อ

2. ยีน NP (nucleoprotein): มีบทบาทสำคัญในการจำลองตัวของ RNA ภายในไวรัส

3. ยีน PA, PB1, และ PB2 (polymerase genes): ทำหน้าที่หลักในกระบวนสร้างสารพันธุ์กรรมสำรหรับไวรัสลูกหลานภายในเซลล์เจ้าบ้าน

Clade 2.3.4.4b เป็นที่รู้จักในแง่ของความสามารถในการติดเชื้อในสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์และมีศักยภาพในการแพร่กระจายข้ามสายพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสมบัตินี้ทำให้ไวรัสในกลุ่มนี้มีความสามารถในการแพร่กระจายได้อย่างกว้างขวาง และถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อสาธารณสุขในวงกว้าง
การผสมพันธุ์และผลกระทบ

ไข้หวัดนก

การผสมพันธุกรรมระหว่าง Clade 2.3.2.1c และ Clade 2.3.4.4b ได้ก่อให้เกิดไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ที่มีคุณสมบัติผสมผสานจากทั้งสอง Clade นอกจากนี้ ในช่วงเวลาไม่นานมานี้ ยังมีการค้นพบไวรัสที่มีความเกี่ยวข้องกับ Clade 2.3.4.4b ในวัวนมในสหรัฐ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของไวรัสและแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการเกิดการผสมพันธุกรรมในรูปแบบใหม่ ๆ ในอนาคต ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการผสมพันธุกรรมนี้มีหลายประการ ได้แก่:

1. การแพร่เชื้อ: การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของยีน HA อาจส่งผลให้ความสามารถของไวรัสในการจับกับและเข้าสู่เซลล์มนุษย์เพิ่มขึ้นหรือลดลง ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อความสามารถในการแพร่กระจายของเชื้อ

2. ความรุนแรงของโรค: การผสมผสานระหว่างยีนภายในจาก Clade 2.3.4.4b และยีน HA จาก Clade 2.3.2.1c อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในประสิทธิภาพการจำลองตัวของไวรัส หรือเพิ่มศักยภาพในการก่อโรคที่มีความรุนแรงมากขึ้น

3. ขอบเขตของเจ้าบ้าน: ด้วยคุณสมบัติพิเศษในการติดเชื้อในสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดของ Clade 2.3.4.4b อาจทำให้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้มีความสามารถในการข้ามสายพันธุ์และติดเชื้อในสัตว์หลากหลายชนิดมากขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อจากสัตว์สู่คน

4. ประสิทธิภาพของวัคซีน: การปรากฏตัวของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในสหรัฐฯ ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Clade 2.3.4.4b อาจสร้างความท้าทายในการรักษาประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากวัคซีนอาจไม่สามารถครอบคลุมคุณสมบัติทางแอนติเจนของสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกลไกและผลกระทบของการผสมพันธุกรรมเหล่านี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนากลยุทธ์การเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุมการระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในอนาคต การวิจัยและการติดตามอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขสามารถคาดการณ์และรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ที่มา: ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo