ศูนย์จีโนมฯ เผย CDC เร่งตรวจสอบสถานการณ์ไข้หวัดนก หลังพบการติดเชื้อในคนงานฟาร์มไข่ในรัฐโคโลราโด
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุว่า เฝ้าระวัง: การระบาดของไข้หวัดนกในโคโลราโด พบการติดเชื้อในคนงานฟาร์มไข่ CDC เร่งตรวจสอบสถานการณ์
ปัจจุบันมีรายงานการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกในสัตว์ปีกและวัวนม แต่ประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างยิ่งคือความเป็นไปได้ในการแพร่เชื้อสู่สุกร
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัฐโคโลราโด ในสหรัฐ รายงานว่า คนงานในฟาร์มไข่เชิงพาณิชย์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐ 3 คน คาดว่าติดเชื้อไข้หวัดนก
สถานการณ์ล่าสุดมีดังนี้
คนงานที่ติดเชื้อมีอาการเล็กน้อย เช่น ตาแดง และอาการติดเชื้อทางเดินหายใจ โดยไม่มีใครต้องเข้าโรงพยาบาล ตัวอย่างจากคนงานให้ผลบวกเบื้องต้นต่อไวรัส H5N1 ที่ห้องปฏิบัติการของรัฐ และได้ส่งไปยืนยันผลที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) แล้ว เชื่อว่าการติดเชื้อเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ปีกที่ติดเชื้อระหว่างกำจัดสัตว์ปีก และ(ยัง)ไม่พบหลักฐานการแพร่เชื้อระหว่างคนสู่คน
เหตุการณ์นี้เชื่อมโยงกับการระบาดของไข้หวัดนกในโคโลราโดในวงกว้าง
- พบการระบาดในฟาร์มไข่ขนาดใหญ่เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ต้องกำจัดไก่เกือบ 2 ล้านตัว
- ผู้ว่าการรัฐประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อต้นสัปดาห์
- พบการระบาดในฝูงวัวนมด้วย โดยมีฝูงวัวที่ได้รับผลกระทบ 35 ฝูง
หากยืนยันผล จะทำให้มีผู้ติดเชื้อไข้หวัดนกในสหรัฐฯ รวม 7 รายนับตั้งแต่เดือนมีนาคม โดย 4 รายอยู่ในโคโลราโด
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขย้ำว่า ความเสี่ยงต่อประชาชนทั่วไปยังคงต่ำ แต่แนะนำให้ผู้ที่ทำงานกับสัตว์ปีกหรือวัวนมใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เหมาะสมและรักษาสุขอนามัยที่ดี
CDC หรือศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ เป็นหน่วยงานด้านสาธารณสุขระดับชาติที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรคระบาด
CDC กำลังส่งทีมผู้เชี่ยวชาญไปยังโคโลราโดเพื่อช่วยในการสอบสวนโรค โดยจะทำการตรวจสอบสาเหตุการแพร่ระบาด ประเมินความเสี่ยง และให้คำแนะนำในการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อ
นอกจากนี้ CDC ยังจะทำการตรวจยืนยันผลการติดเชื้อของคนงานทั้ง 3 ราย และอาจปรับปรุงแนวทางการป้องกันและจัดการการติดเชื้อไข้หวัดนกในมนุษย์ต่อไป ข้อมูลและคำแนะนำจาก CDC จะมีส่วนสำคัญในการกำหนดมาตรการรับมือกับการระบาดครั้งนี้ทั้งในระดับรัฐและระดับประเทศ
จากบทเรียนการระบาดของไข้หวัดนกในโคโลราโด ประเทศไทยควรดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมและป้องกันการระบาดในอนาคต ดังนี้
ประเทศไทยควรเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวัง โดยตรวจสอบฟาร์มสัตว์ปีกอย่างสม่ำเสมอ และขยายการเฝ้าระวังไปยังสัตว์ชนิดอื่น เช่น วัวนม ตามที่พบในโคโลราโด นอกจากนี้ ควรติดตามสุขภาพของคนงานในฟาร์มและผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ปีกอย่างใกล้ชิด
การพัฒนาระบบการตอบสนองฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญ โดยจัดทำแผนรับมือการระบาดทั้งในระดับจังหวัดและประเทศ เตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการซักซ้อมแผนฉุกเฉินเป็นประจำ
ควรส่งเสริมมาตรการความปลอดภัยในฟาร์ม โดยกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยทางชีวภาพในฟาร์มสัตว์ปีก และจัดอบรมคนงานเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลและสุขอนามัยที่ถูกต้อง
ปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานว่าพบไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ในประชากรสุกร อย่างไรก็ตาม การที่ไวรัสสามารถปรับตัวให้เข้ากับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลากหลายชนิดในระยะหลังนี้ รวมถึงสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม ได้สร้างความกังวลอย่างมากให้กับผู้เชี่ยวชาญ
การศึกษาแสดงให้เห็นว่า H5N1 ได้วิวัฒนาการจนสามารถติดเชื้อและแพร่กระจายในสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สิงโตทะเลและแมวน้ำช้าง ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพในการปรับตัวเข้ากับโฮสต์ใหม่ๆ
หาก H5N1 กลายเป็นโรคประจำถิ่นในสุกร อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการระบาดใหญ่ในมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญ สุกรเป็นที่รู้จักกันดีว่าทำหน้าที่เป็น ภาชนะผสม สำหรับไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งหมายความว่าพวกมันสามารถอำนวยความสะดวกในการจัดเรียงยีนไวรัสใหม่ระหว่างไวรัสไข้หวัดใหญ่ของนก สุกร และมนุษย์
การจัดเรียงใหม่นี้อาจนำไปสู่การเกิดสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่กระจายได้มากขึ้นหรือรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจติดเชื้อในมนุษย์ได้ การปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างมนุษย์และสุกรในสภาพแวดล้อมทางการเกษตรยิ่งเพิ่มความเสี่ยงนี้มากขึ้น
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้ การตรวจสอบและเฝ้าระวัง H5N1 อย่างต่อเนื่องทั้งในประชากรนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการบรรเทาภัยคุกคามต่อสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น
การพัฒนาระบบการตรวจวินิจฉัยและรายงานโรคเป็นสิ่งจำเป็น โดยเพิ่มขีดความสามารถของห้องปฏิบัติการในการตรวจหาเชื้อไข้หวัดนก และสร้างระบบรายงานโรคที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเป็นกุญแจสำคัญ โดยประสานงานระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานท้องถิ่น รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความรู้กับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น WHO และ FAO
WHO หรือองค์การอนามัยโลก (World Health Organization) เป็นหน่วยงานชำนาญพิเศษด้านสุขภาพระหว่างประเทศในสังกัดสหประชาชาติ มีบทบาทสำคัญในการประสานงานด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ กำหนดมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติด้านสุขภาพ และให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ประเทศสมาชิก
FAO หรือองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations) เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความอดอยาก ความยากจน และส่งเสริมการพัฒนาด้านการเกษตรและอาหาร FAO มีบทบาทสำคัญในการควบคุมโรคระบาดสัตว์และโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน
การให้ความรู้แก่ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ โดยรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับไข้หวัดนกและวิธีป้องกัน พร้อมทั้งให้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาด
ประเทศไทยควรเตรียมแผนพร้อมงบประมาณรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยวางแผนช่วยเหลือเกษตรกรที่อาจได้รับผลกระทบ และเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเกษตรและการส่งออก
สุดท้าย ควรส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา โดยสนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับไวรัสไข้หวัดนกและวัคซีนป้องกัน รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีการเฝ้าระวังและควบคุมโรค
การนำบทเรียนจากรัฐโคโลราโดมาปรับใช้และดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้ จะช่วยให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการรับมือกับการระบาดของไข้หวัดนกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- วิกฤติไข้หวัดนก H5N1 เมื่อไวรัสร้ายบุกฟาร์มวัวนม มุ่งเป้าที่เนื้อเยื่อต่อมน้ำนม ภัยคุกคามใหม่ต่อสุขภาพโลก
- สธ. สั่งเฝ้าระวังเข้ม ทั้งในคนและสัตว์ หลังกัมพูชาพบผู้ป่วยไข้หวัดนกรายที่ 7
- เจอเพิ่มอีก 1 ราย! กัมพูชาพบเด็ก 5 ขวบติดเชื้อไข้หวัดนก H5N1 ดันยอดรวมแตะ 7 ราย
ติดตามเราได้ที่
- เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
- Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
- X (Twitter): https://twitter.com/BangkokInsight
- Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
- Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg