General

สธ. ห่วง 13 เม.ย.ทุกปี ‘เสียชีวิตจากดื่มแล้วขับ’ สูงสุด กำชับโรงพยาบาลทั่วประเทศ ร่วมป้องกันและรับมือ

สธ. ห่วง วันที่ 13 เม.ย.ทุกปี “เสียชีวิตจากดื่มแล้วขับ” สูงสุด กำชับโรงพยาบาลทั่วประเทศ ร่วมป้องกันและรับมือ

นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้ประชุมติดตามสถานการณ์และการดำเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข ร่วมกับทุกกรม เขตสุขภาพ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป และกำชับข้อสั่งการของ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข

กรณีการดำเนินการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในช่วง 7 วันเทศกาลสงกรานต์ ทั้งการเตรียมความพร้อมดูแลรักษาประชาชนในสถานพยาบาล ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ รณรงค์ ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่ปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ เน้นดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม เพื่อป้องกันและลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรให้ได้มากที่สุด

รวมถึงให้ อสม. ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คัดกรองผู้ขับขี่ที่ดื่มแล้วขับที่ด่านชุมชนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในวันเฉลิมฉลอง 13 และ 14 เมษายน 2566

สธ.

สธ. ห่วง 13 เม.ย.ทุกปี เสียชีวิตจากดื่มแล้วขับสูงสุด 

ทั้งนี้ อุบัติเหตุทางถนนช่วงสงกรานต์ ส่วนใหญ่มักเกิดในถนนสายรอง โดยพบผู้เสียชีวิตจากการดื่มแล้วขับมากที่สุดในวันที่ 13 เมษายนของทุกปี ซึ่งด่านชุมชนเป็นจุดที่ช่วยสกัดกั้นผู้ที่ดื่มไม่ให้ออกไปขับขี่ได้มากกว่าครึ่ง โดยใช้แนวทางสังเกตและประเมินอาการมึนเมาสุราเบื้องต้น ที่ช่วยคัดกรองได้ 50-70%

นอกจากนี้ ได้กำชับให้โรงพยาบาลทุกแห่งดูระบบรักษาความปลอดภัย ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ระบบสัญญาณแจ้งเหตุ ระบบดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน พร้อมทั้งให้ผู้บริหารอยู่ในพื้นที่เพื่อรองรับกรณีเกิดเหตุการณ์สำคัญ สร้างขวัญและกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน

สธ.

ดูแลผู้ป่วยจาก PM2.5

นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 พบว่า มีแนวโน้มลดลงในภาคกลาง กทม. ปริมณฑล และตะวันออก โดยคุณภาพอากาศอยู่ในระดับดีมากถึงปานกลาง แต่ต้องเฝ้าระวังช่วงวันที่ 14-15 เมษายน 2566 ที่อาจมีสภาพอากาศปิด

ส่วนภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังพบจุดความร้อน คุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (สีส้ม) จนถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ (สีแดง)

ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะมีฝนตก 10-40% ระหว่างวันที่ 15-17 เมษายน 2566 ซึ่งจะช่วยบรรเทาสถานการณ์ลงได้ ส่วนสถานการณ์ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ที่มีค่าฝุ่นสูงเกินมาตรฐาน หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ดำเนินการตามข้อสั่งการและ 3 มาตรการ 10 กิจกรรมอย่างครบถ้วน

ทั้งสื่อสารสร้างความรอบรู้ แจ้งเตือนระดับความเสี่ยงและแนวทางปฏิบัติ การเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขระดับจังหวัดและระดับอำเภอ สนับสนุนหน้ากากสำหรับกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วย กลุ่มเปราะบาง และประชาชนทั่วไป

สธ.

จากการติดตามการให้บริการด้านการแพทย์ พบว่า มีการจัดระบบปฏิบัติการเชิงรุก ด้วยทีม 3 หมอ อสม.เคาะประตูบ้าน เยี่ยมกลุ่มเสี่ยง และเปิดคลินิกมลพิษ

โดยเชียงใหม่เปิดให้บริการที่ รพ.นครพิงค์ รพ.สันป่าตอง รพ.สันทราย และ รพ.แม่วาง ซึ่ง รพ.นครพิงค์เปิดแบบออนไลน์ร่วมด้วย ส่วนการทำห้องปลอดฝุ่น จังหวัดเชียงรายจัดทำในสถานบริการสาธารณสุข ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียน และ อปท. รวม 580 ห้อง

ขณะที่จังหวัดเชียงใหม่ จัดทำในโรงพยาบาล/สถานบริการสาธารณสุข อาคารสำนักงาน สถานที่ราชการ หน่วยงานสังกัด อปท. และภาคเอกชน รวม 590 ห้อง และจะขยายไปสู่ภาคเอกชนให้มากขึ้น

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo