General

ค่า ‘PM2.5’ พุ่งเป็นอันดับ 3 ของโลก คพ. ยกระดับมาตรการ ลดแหล่งกำเนิดฝุ่นในประเทศ และหมอกควันข้ามแดน

ค่า ‘PM2.5’ พุ่งเป็นอันดับ 3 ของโลก คพ. เร่งยกระดับมาตรการ ลดแหล่งกำเนิดฝุ่นในประเทศ และหมอกควันข้ามแดน

นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) เปิดเผยว่า การคาดการณ์คุณภาพอากาศ วันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2566 พื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ยังต้องเฝ้าระวังการสะสมของฝุ่นละอองเนื่องจากสภาพอากาศที่นิ่งและปิด โดยพื้นที่ที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่พื้นที่กรุงเทพกลาง กรุงธนเหนือ และใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ท้ายลม เช่นเดียวกับภาคเหนือตอนบนและล่างต้องเฝ้าระวังในห้วงเวลาเดียวกัน

PM2.5

ขอให้ประชาชนเฝ้าระวังสุขภาพ ลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะประชาชน​ที่อยู่​บริเวณพื้นที่คุณภาพอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพ หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น ผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น ถ้ามีอาการทางสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์

PM2.5

ยกระดับมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ

ทั้งนี้ คพ. ได้ยกระดับมาตรการเพื่อลดแหล่งกำเนิด PM2.5 และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย โดยศกพ. บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และ “แผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ปี 2566”

ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบ ได้แก่ ยกระดับการบริหารจัดการเชื้อเพลิงแบบครบวงจร (ชิงเก็บ ลดเผา และ Burn Check) ลดจุดความร้อน ป้องกันและควบคุมการเกิดไฟในทุกพื้นที่ และพัฒนาระบบพยากรณ์ความรุนแรงและอันตรายของไฟ (Fire Danger Rating System : FDRS) ผลักดันกลไกระหว่างประเทศ

เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนมีประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนและดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละออง

PM2.5

มาตรการลดแหล่งกำเนิดฝุ่่นในประเทศ และหมอกควันข้ามแดน

สำหรับพื้นที่เป้าหมายในการลดการระบายฝุ่นละอองครอบคลุมดังนี้

  1. พื้นที่เมือง แหล่งกำเนิดมาจากการจราจรและโรงงานอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ ดังนั้นจึงเน้นมาตรการในการป้องกันการเกิดปัญหาและมาตรการแก้ไขปัญหา ดังนี้
  • ด้านการจราจร ขอความร่วมมือให้บำรุงรักษาเครื่องยนต์ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน ซึ่งได้มีการกำหนดโครงการเช่น โครงการรถรัฐลดมลพิษ โครงการคลินิกรถ ลดฝุ่น PM2.5 ร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ให้บริการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ฟรี และลดค่าน้ำมันเครื่อง ค่าอะไหล่ และค่าแรงเป็นพิเศษ การนำน้ำมันกำมะถันต่ำมาจำหน่ายในช่วงวิกฤต ฝุ่น PM2.5

รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดตรวจวัดควันดำ และขยายพื้นที่ตรวจวัดควันดำเพื่อควบคุมตั้งแต่ต้นทาง เช่น บริษัทรถบรรทุก  สถานีขนส่ง และอู่รถโดยสารสาธารณะประจำทางและไม่ประจำทาง อู่รถโดยสาร ขสมก. เป็นต้น

  • ด้านโรงงานอุตสาหกรรม จะมีการตรวจกำกับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มในการปล่อยมลพิษสูง 100% ตลอดปี  โดยในช่วงวิกฤตระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2565 จะเร่งตรวจกำกับโรงงานเชิงรุกโดยเฉพาะโรงงานที่มีความเสี่ยงในการปล่อยฝุ่นละอองจากกระบวนการเผาไหม้ และกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการฟุ้งกระจายของฝุ่น

โดยโรงงานที่มีความเสี่ยงในการปล่อยฝุ่นละอองประกอบด้วย โรงงานที่ใช้หม้อน้ำ โรงงานที่ใช้ถ่านหิน โรงงานหลอมเหล็ก โรงงานผลิตคอนกรีตผสมเสร็จโรงงานแอสฟัลติก รวมทั้งสิ้น 896 โรงงาน นอกจากนี้ยังมีการควบคุมสถานประกอบการ ได้แก่ กิจการผสมซีเมนต์ กิจการหลอมโลหะ อู่พ่นสีรถยนต์ กิจกรรมผลิตธูป เป็นต้น

PM2.5

  1. พื้นที่เกษตร แหล่งกำเนิดฝุ่นละอองมาจากการเผาเศษวัสดุการเกษตร ดังนั้นจึงเน้นการส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตร โดยถ่ายทอดองค์ความรู้ สร้างการมีส่วนร่วมของเกษตรกรเพื่อลดการเผาในพื้นที่การเกษตร สร้างเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผา โดยกำหนดเป้าหมายใน 62 จังหวัด เกษตรกรจำนวน 17,640 คน และตั้งเป้าหมายในการลดจำนวนจุดความร้อนร้อยละ 10%
  1. พื้นที่ป่า แหล่งกำเนิดฝุ่นละอองที่สำคัญมาจากไฟป่า ดังนั้นจึงเน้นการรณรงค์ประชาสัมพันธ์และให้ความรู้ ป้องกันไฟป่า การบริหารจัดการเชื้อเพลิงด้วยวิธีชิงเก็บลดเผา ไม่น้อยกว่า 3,000 ตัน บูรณาการกับทุกภาคส่วน ส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือในการควบคุมไฟป่า การประยุกต์ใช้ระบบพยากรณ์ระดับชั้นอันตรายของไฟ (Fire Danger Rating System: FDRS) และดับไฟป่า โดยกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดให้ลดจำนวนจุดความร้อนลง 20% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง

ทั้งนี้ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูล ข่าวสาร การรายงานคุณภาพอากาศ การคาดการณ์คุณภาพอากาศ และการแจ้งเตือนได้ที่เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน Air4thai หรือ แฟนเพจศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

PM2.5

ค่าฝุ่นพิษพุ่งติดอันดับ 3 ของโลก

ทั้งนี้ จากการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษเผยแพร่โดยเว็บไซต์ iqair โดยการตรวจวัดคุณภาพอากาศวันที่ 2 กุุมภาพนธุ์ เวลา 09.30 น. พบว่า กรุงเทพมหาคร อยู่ในอันดับ 3 รองจากอันดับ 1 เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย อันดับ 2 เมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน โดยผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพฯ อยู่ที่ 198 สหรัฐ AQI คิดเป็น 29.4 เท่าของค่าแนวทางคุณภาพอากาศประจำปีขององค์การอนามัยโลก

โดยค่าการตรวจวัดนี้จะปรับเปลี่ยนตลอดเวลาระหว่างวัน เนื่องจากกิจกรรมในพื้นที่และสภาพอากาศ ที่มีผลต่อการสะสมของฝุ่น PM 2.5

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo