กทม. รับมือ ‘PM2.5’ สีแดง ปลายเดือนนี้ 11 บริษัทเอกชนเตรียม WFH เผยคนกรุงต้องเผชิญฝุ่นพิษจนถึงเดือนเม.ย.
นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กทม. ร่วมกับกรมอนามัย และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ โดย กทม. แบ่งแผนออกเป็น 3 ส่วนคือ
- การติดตามและแจ้งเตือนโดยการตั้งวอร์รูมแก้ปัญหา PM2.5
- การเปิด Traffy Fondue เพื่อรับแจ้งปัญหาจากประชาชน
- การพยากรณ์สถานการณ์ฝุ่นล่วงหน้าเพื่อแจ้งเตือนประชาชนโดยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การแก้ปัญหาจากต้นตอของฝุ่นพิษ เช่น ควันดำจากรถยนต์ การเผาชีวมวลจากการเกษตร การเผาในที่โล่ง และโรงงานอุตสาหกรรมอีกด้วย
รวมถึงการรณรงค์ส่งเสริมความรู้และเน้นย้ำข้อควรปฏิบัติและวิธีป้องกันตนเองจากฝุ่นพิษโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัว
ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขของ กทม. เพื่อรองรับการให้บริการประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางสุขภาพจากปัญหาฝุ่นละออง ซึ่งหน่วยงานภาครัฐได้ร่วมมือกันอย่างเข้มข้นเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละออง ในกรุงเทพฯ ร่วมกัน
คนกรุงเผชิญฝุ่นพิษถึงเดือนเม.ย.
นายพันศักดิ์ ถิรมงคล ผู้อำนวยการกองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษกล่าวว่า การเกิดฝุ่น PM 2.5 เป็นวัฏจักรที่มักเกิดขึ้นในฤดูหนาว สำหรับในปีนี้กรมควบคุมมลพิษได้ติดตามแต่คาดการณ์ล่วงหน้า 7 วัน พบว่า ช่วงที่มีปัญหาเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม โดยปัญหาที่พบว่าในวันที่ 24 มกราคม เกิดพื้นที่สีส้มทั่วกรุงเทพฯ
และค่า PM2.5 จะเกินมาตรฐานอีกครั้งในวันที่ 27 มกราคม และจะเกิดพื้นที่สีส้ม สีแดงทั่วกรุงเทพฯ อีกครั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งปัญหานี้จะอยู่กับเราไปจนถึงเดือนเมษายน
โดยทางด้านอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าปีนี้มีความแห้งแล้งมากกว่าปีที่ผ่านมา นี่เป็นปัจจัยส่งเสริมทำให้ PM2.5 อาจจะรุนแรงขึ้น ซึ่งจากสถิติที่ผ่านพบว่าเดือนที่มักจะมีความรุนแรงของฝุ่นพิษมากที่สุดคือเดือนกุมภาพันธ์
ดร.ศักดา ตรีเดช ผู้อำนวยการส่วนนวัตกรรมคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ ได้กล่าวถึง 2 ปัจจัยหลักของการเกิดฝุ่น ปัจจัยแรกได้แก่ เพดานลอยตัวของอากาศ โดยข้อมูลจากอุตุนิยมวิทยาพบว่าเพดานอากาศต่ำกว่า 500 เมตร ทำให้เกิดสถานการณ์ฝุ่นพิษ เนื่องจากเพดานอากาศจะสูงขึ้นในหน้าร้อน และเพดานอากาศจะต่ำลงในหน้าหนาว
และสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือในช่วงวันที่ 31 มกราคม ถึง 1 กุมภาพันธ์ สถานการณ์มีโอกาสรุนแรงเหมือนวันที่ 24 มกราคม ซึ่งเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยาได้ แต่สิ่งที่เราสามารถควบคุมได้คือปัจจัยที่สอง แหล่งกำเนิด เช่น การจราจร ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในพื้นที่กรุงเทพ โรงงานอุตสาหกรรม ภาคครัวเรือน การเผาในที่โล่ง เราสามารถร่วมด้วยช่วยกันควบคุมได้
นางสาววรนุช สวยค้าข้าว รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวถึงแนวทางปฏิบัติของกทม.ว่า หากค่าฝุ่นพิษเพิ่มสูงขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ 3 ส่วน ได้แก่ เฝ้าระวังและแจ้งเตือน กำจัดต้นตอ และการแนะนำการป้องกันดูแลสุขภาพ
แก้ไขปัญหา 4 ระดับ ตามค่าฝุ่น
ซึ่งกทม.จะนำค่าระดับฝุ่นประกอบกับค่าการพยากรณ์ของกรมควบคุมมลพิษ เพื่อเป็นข้อมูลสถานการณ์และนำมาใช้ในการวางแผนการทำงาน เป็น 4 ระดับ
- ระดับที่ 1 (ฟ้า) ค่าไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม. จะใช้ 15 มาตรการ เช่น ตรวจไซด์ก่อสร้าง ตรวจโรงงาน ให้มีการฉีดพ่นน้ำเพื่อไม่ให้มีการฟุ้งกระจายของฝุ่น
- ระดับที่ 2 (เหลือง) ค่า 37.6-50 มคก./ลบ.ม. จะมีการเพิ่มความเข้นข้นในการตรวจมากยิ่งขึ้น
- ระดับที่ 3 (ส้ม) ค่า 51-75 มคก./ลบ.ม. จะมีการแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประสานงานขอความร่วมมือให้ทำงานแบบ Work From Home 60% รวมถึงลดงานและกิจกรรมที่เกิดฝุ่นละออง
- ระดับที่ 4 (แดง) ค่ามากกว่า 75 มคก./ลบ.ม. จะขอความร่วมทำงานแบบ Work From Home 100% เพราะเป็นการช่วยลดมลพิษได้เป็นอย่างมากรวมถึงการปิดโรงเรียน เป็นต้น
นอกจากนี้ หลังจากที่ กทม.ได้ตั้งวอร์รูมฝุ่นพิษ เผื่อแจ้งเตือนประชาชนในกรุงเทพฯ ให้รับมือกับสภาพอากาศที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งในวันที่ 27 มกราคม และวันที่ 31 มกราคม – 1 กุมภาพันธ์นี้ จะมีค่าฝุ่นเกินค่ามาตรฐานเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
โดยปีนี้สภาพฝุ่นพิษ หนักและรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา สาเหตุเพราะเพดานการลอยตัวของอากาศ ในกรุงเทพฯ ต่ำลง อาจส่งผลต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะต้องเจอสภาพอากาศในลักษณะนี้อีก
อ่านขาวเพิ่มเติม
- เฝ้าระวัง-วัดค่า ‘PM 2.5 – PM10’ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ หลังพบเขม่าควันจากหัวรถจักร ฟุ้งในสถานี
- กรมควบคุมมลพิษ เผย ‘PM 2.5’ เกินค่ามาตรฐาน 23 จังหวัด เฝ้าระวัง กรุงเทพ และ 17 จังหวัดภาคเหนือ
- เช็กด่วน! กทม. เช้านี้ ‘PM 2.5’ พุ่งเกินมาตรฐาน 59 พื้นที่