General

เตรียมความพร้อม!! รับมือ ‘โรคโปลิโอ’ หลังพบผู้ป่วยเพิ่มใน 22 ประเทศ

คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบมาตรการรับมือ “โรคโปลิโอ” หลังพบผู้ป่วยโปลิโอเพิ่มขึ้นใน 22 ประเทศ ย้ำเร่งรัดให้วัคซีนในเด็กอย่างครอบคลุม

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบหมายจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 10/2565 โดยมี นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการโรคติดต่อจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

โรคโปลิโอ

นพ.โอภาส กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มมีรายงานพบผู้ป่วยโรคโปลิโอ ซึ่งทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกเฉียบพลันในหลายประเทศ หลังจากไม่พบผู้ป่วยโรคนี้มาเป็นระยะเวลานานหลายปี

กระทรวงสาธารณสุข กำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังลำดับที่ 21 ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยมีรายงานพบผู้ป่วยโปลิโอสายพันธุ์ธรรมชาติ จำนวน 30 ราย ในปากีสถาน อัฟกานิสถาน และโมซัมบิก และผู้ป่วยโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ จำนวน 577 ราย ใน 22 ประเทศ รวมถึงอินโดนีเซียที่พบผู้ป่วย 4 ราย

ประเทศไทยต้องเร่งรัดการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ แม้ว่าเราจะไม่มีผู้ป่วยโรคโปลิโอมานานกว่า 25 ปีแล้ว โดยรายสุดท้ายคือในปี 2540

ขณะที่การประชุมในวันนี้ ได้พิจารณาและเห็นชอบ 3 เรื่อง คือ

1. ข้อเสนอมาตรการเร่งรัดการดำเนินงาน เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไทย เมื่อมีความเสี่ยงจากการระบาดของโรคโปลิโอในต่างประเทศ ให้ทุกจังหวัดเร่งรัดความครอบคลุมการได้รับวัคซีนในเด็ก ประชาสัมพันธ์ฉีดกระตุ้น ประเมินความเสี่ยง ซักซ้อมแผน รณรงค์การให้วัคซีนเสริมในพื้นที่เสี่ยงและผลักดันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาวัคซีน ดำเนินการจัดหาวัคซีน IPV

2. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการกวาดล้างโรคโปลิโอ การกำจัดโรคหัด และหัดเยอรมัน ระดับชาติ เพื่อให้การดำเนินงานกวาดล้างโปลิโอของไทยมีความเข้มแข็ง รวมถึงการกำจัดโรคหัดและหัดเยอรมัน และต้องมีการขับเคลื่อนมาตรการอย่างต่อเนื่อง

สธ.

3. เห็นชอบการยกเว้นการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคโควิด 19 ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2566

ด้านสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ขณะนี้พบผู้ป่วย โรคโควิด 19 เพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวที่มีกิจกรรมรวมกลุ่ม ของนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติจำนวนมาก ประกอบกับไทยเข้าสู่ฤดูหนาว เชื้อไวรัสอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้น และแพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการปอดอักเสบ และใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่ระบบสาธารณสุขดูแลได้ ส่วนผู้เสียชีวิตเป็นกลุ่ม 608 ถึง 97% ทั้งหมดเป็นผู้ไม่ได้รับวัคซีน ไม่ได้รับเข็มกระตุ้น หรือได้รับเข็มกระตุ้นนานเกิน 3 เดือน

กระทรวงสาธารณสุข จึงมีนโยบายเร่งรัดรณรงค์ฉีดวัคซีนโควิด 19 ในกลุ่มเสี่ยงอย่างน้อยคนละ 4 เข็ม มีเป้าหมายให้ทุกจังหวัดฉีดวัคซีนรวมกัน 2 ล้านโดส ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2565 เพื่อลดการป่วยอาการรุนแรงและเสียชีวิต

พร้อมกันนี้ ได้จัดให้มีหน่วยฉีดวัคซีนทั้งในโรงพยาบาล และออกหน่วยฉีดวัคซีนเชิงรุก นอกโรงพยาบาล ส่วนกลุ่มที่มีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันต่ำ หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน สามารถฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) ที่สถานพยาบาลของรัฐใกล้บ้านได้

สำหรับในปี 2565 หลังจากผ่อนคลายมาตรการ ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามามากกว่า 10 ล้านคน แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม และได้รับความเชื่อมั่นด้านการแพทย์และสาธารณสุข

นพ.โอภาส

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ใช้แนวคิด Health for Wealth ช่วยพัฒนาประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ นโยบาย Medical Hub มุ่งให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมทางการแพทย์ครบวงจร และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศอีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบการสรุปผลการดำเนินงานด้านวัคซีนโควิด 19 โดยประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้ว 145.3 ล้านโดส รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม จำนวน 57.5 ล้านคน คิดเป็น 82.6% ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ 53.9 ล้านคน คิดเป็น 77.6% และฉีดเข็มกระตุ้น 33.8 ล้านโดส ให้บริการฉีด LAAB ให้กับประชาชนกว่า 1.9 หมื่นคน ส่วนในเด็กอายุ 6 เดือน – 4 ปี รับวัคซีนแล้ว 4.9 หมื่นคน

ขณะที่องค์การอนามัยโลก และที่ประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2565 มีคำแนะนำให้กลุ่มเป้าหมายที่ต้องรับวัคซีนเข็มกระตุ้น เข้ารับวัคซีนตามระยะเวลาที่กำหนด โดยใช้วัคซีนที่มีในปัจจุบัน ซึ่งยังมีประโยชน์ในการป้องกัน และลดความรุนแรงของโรค สามารถใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี สู้กับสายพันธุ์ที่ระบาดคือ โอไมครอน BA.5 และ BA.2.75 ได้ไม่จำเป็นต้องรอวัคซีน mRNA bivalent

ทั้งนี้ ได้ย้ำให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด จัดตั้งหน่วยฉีดวัคซีนหลักในทุกจังหวัดและทุกอำเภอ (COVID-19 Vaccination Center) ที่ประชาชนเข้าถึงได้สะดวกและทั่วถึง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบสถานที่และวันเวลาที่เปิดให้บริการ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo