“สมศักดิ์” แถลงคดี “ตู้ห่าว” หลังดีเอสไอรับคดีฟอกเงินทางอาญา มาไว้สอบสวนเป็นคดีพิเศษ ยึดทรัพย์แล้ว 4 พันล้าน พบนายทุนต่างชาติหลายกลุ่มอยู่เบื้องหลัง
วันนี้ (15 ธ.ค.2565) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยตัวแทนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ร่วมกันเปิดเผยถึงการดำเนินคดีกับนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว และเครือข่ายกลุ่มชาวจีนทำธุรกิจผิดกฎหมายในไทย
โดยหลังจากที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ร้องเรียนผ่านกระทรวงยุติธรรมให้รับคดีนี้ไว้สอบสวนเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากพบว่า การกระทำความผิดของผู้ต้องหาทำเป็นเครือข่าย และมีความเสียหายเป็นจำนวนมาก และได้นำเข้าคณะกรรมการกลั่นกรองคดีพิเศษแล้วเห็นว่า รับคดีฟอกเงินทางอาญาไว้สอบสวนเป็นคดีพิเศษ เลขที่ 314/2565 เนื่องจากอยู่ในอำนาจของดีเอสไอที่รับคดีไว้สอบสวนได้ตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ โดยที่ไม่ต้องผ่านคณะกรรมการคดีพิเศษ
นายสมศักดิ์ ระบุว่า ที่ยกระดับให้เป็นคดีพิเศษ เพราะเจ้าหน้าที่พบข้อมูลว่ามีนายทุนอีก 4-5 กลุ่ม ที่เป็นชาวต่างชาติ อยู่เบื้องหลังและถือพาสปอร์ตคนต่างชาติเข้ามาทำผิดในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่มีเลขพาสปอร์ตและหลักฐานการเข้าออกแล้ว อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลในเชิงลึกว่าเป็นใครและจะเปิดเผยในภายหลัง โดยภายใน 2 สัปดาห์นี้จะเรียกบุคคลกลุ่มนี้มาสอบปากคำ และภายใน 30 วัน จะแจ้งข้อกล่าวหาคนกลุ่มนี้ นอกจากนี้สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส.ได้ยึดอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายตู้ห่าวแล้วกว่า 2 พันล้านบาท รวมทั้งหมดกว่า 4 พันล้านบาท
พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า การสอบสวนคดีพิเศษนี้เป็นเพียงในข้อหาฟอกเงินทางอาญาเท่านั้น ส่วนคดีอาญาและองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่อัยการสูงสุดตั้งคณะทำงานขึ้นมาใหม่นั้น ยังอยู่ในอำนาจของอัยการและตำรวจ ส่วนจะมีการโอนสำนวนคดีมาสอบสวนเป็นคดีพิเศษหรือไม่ รมว.ยุติธรรม เปิดเผยว่า ยังให้ส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีไปตามปกติ ส่วนจะโอนมาหรือไม่นั้นหากมีความจำเป็นก็ต้องโอนมา
ขณะที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ มอบดอกไม้ขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่รับคดีนี้ไว้สอบสวนเป็นคดีพิเศษ พร้อมกับตั้งคำถามถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 5 ข้อ เกี่ยวกับการดำเนินคดีนายตู้ห่าวกับพวก ว่า ทำไมตั้งข้อหาคดียาเสพติด แต่ไม่ตั้งข้อหาคดีสมคบฟอกเงิน รวมทั้งประเด็นพยานหลักฐานคือค่าเช่า ค่าไฟ เงินค้ำประกัน และสิ่งต่างๆ ไม่ได้พิสูจน์ว่าตู้ห่าวขายยาเสพติด แต่พิสูจน์ว่าตู้ห่าวเป็นเจ้าของสถานที่ ซึ่งการเป็นเจ้าของสถานที่จะทำให้ไม่สามารถสืบต่อได้ว่าตู้ห่าวมียาและอยู่ในพื้นที่ ขณะที่มีพยานในที่เกิดเหตุจำนวนมากถึง 215 คน ควรจะต้องเอามือถือมาตรวจสอบให้ครบทั้งหมด รวมถึงดำเนินคดีกับคนเอารถของกลางออก และจะดำเนินคดีกับตำรวจที่ให้ความช่วยเหลือหรือไม่
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ภูมิใจไทย ฮึกเหิมหวังเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ‘ไพศาล’ ชี้ถ้าจับขั้วเพื่อไทย ปิดฉากการเมือง ‘บิ๊กตู่’
- ชัยชนะของประชาชน ‘ชูวิทย์’ เฮ! ดีเอสไอรับคดี ‘ตู้ห่าว’ เป็นคดีพิเศษแล้ว
- ‘บิ๊กโจ๊ก’ ส่งสรุป ‘ทุนจีนสีเทา’ ชี้ ‘ตู้ห่าว’ ไม่ผิด ‘อาชญากรรมข้ามชาติ’