COVID-19

หมอธีระ เผย ‘PM2.5’ เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ‘โควิด’ มากถึง 66%

หมอธีระ เผย ‘PM2.5’ เพิ่ม 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ‘โควิด-19’ มากถึง 66%

ศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ข้อความดังนี้

เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 261,086 คน ตายเพิ่ม 636 คน รวมแล้วติดไป 641,763,345 คน เสียชีวิตรวม 6,620,975 คน

5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส ไต้หวัน และฮ่องกง

PM2.5

เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 8 ใน 10 อันดับแรก และ 17 ใน 20 อันดับแรกของโลก

จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 93.38 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็น 83.8%

PM2.5 เพิ่มขึ้น 10 ไมโครกรัม เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อ 66%

อัพเดตความรู้โควิด-19

“PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19″

Sheppard N และคณะ จากมหาวิทยาลัยโมนาร์ช ประเทศออสเตรเลีย ทำการทบทวนข้อมูลวิชาการอย่างเป็นระบบ และวิเคราะห์อภิมานจากงานวิจัยทั่วโลกจำนวน 18 ชิ้น

พบว่า ฝุ่น PM.2.5 มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19

ทั้งนี้ หากสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 ในสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (μg/m3) จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น 66%

PM2.5

จากการวิจัยต่างๆ ที่มีนั้น แม้จะยังฟันธงถึง cause-effect relationship ไม่ได้ เพราะมีข้อจำกัดของการออกแบบแต่ละการวิจัย แต่อย่างน้อยก็สะท้อนถึงความสำคัญของสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะมีฝุ่นหรือไม่มีก็ตาม

จากความรู้ที่เราเคยมีอยู่ว่า หากอยู่ในพื้นที่ หรือสถานที่ที่ระบายอากาศไม่ดี อากาศนิ่ง ย่อมมีโอกาสสูงที่เชื้อโรคจะแขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน และทำให้คนในพื้นที่หรือสถานที่นั้นมีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น

…อัตราการตรวจพบว่าติดเชื้อ (positivity rate) ของไทย

ชัดเจนว่า ปัจจุบันต้องป้องกันตัวให้ดี เพราะอัตราการตรวจพบว่าติดเชื้อกลับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (23.87% ณ 22 ตุลาคม 2565)

ข้อมูลที่เห็นนั้นบอกถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมาอย่างชัดเจน ว่าเหตุใดจึงต้องหยุดยั้งการระบาดให้ได้ในระลอกแรก (มีนาคม 2563) ที่ขณะนั้นไม่มีความพร้อมที่จะสู้กับโรคระบาดใหม่ที่รุนแรง ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของโรคอย่างดีพอ ไม่มียา ไม่มีวัคซีน

ในช่วงปลายปี 2563 จนถึงต้นปี 2564 ช่วงระลอกสอง สะท้อนให้เข้าใจถึงผลลัพธ์ของการระบาดวงกว้าง นำไปสู่การระบาดต่อเนื่องในชุมชน และการปะทุซ้ำระยะยาว

PM2.5

ป้องกันตัวเอง ไม่ประมาท ฉีดเข็มกระตุ้นตามกำหนด

นอกจากนั้น ความหนักหนาสาหัสของระลอกสามจากอัลฟ่าและเดลต้า ส่งผลให้การระบาดเป็นไปอย่างรวดเร็ววงกว้างนับจากช่วงสงกรานต์เป็นต้นมา โดยมีประเด็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีน ทั้งเรื่องชนิด ประสิทธิภาพ ความเพียงพอ และเงื่อนเวลา และมีการติดเชื้อ ป่วย และเสียชีวิตจำนวนมาก รวมถึงผลกระทบระยะยาวอย่าง Long COVID ในคนจำนวนไม่น้อยตามมา

สุดท้ายคือ ระลอกล่าสุดจาก Omicron ว่าหนักหนากว่าเดลต้า ตัวเลขย่อมสะท้อนทางอ้อมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อในสังคม และอาจเป็นตัวอธิบายเรื่องจำนวนการเสียชีวิตส่วนเกินจากทุกสาเหตุ (excess death) ที่สูงกว่าหลายประเทศทั่วโลก ดังที่เห็นจาก Ourworldindata

ดังนั้น จึงควรป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ ไม่ประมาท การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตามกำหนดจะช่วยลดโอกาสป่วยรุนแรง เสียชีวิต และ Long COVID

ที่จำเป็นอย่างยิ่งคือ การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องระหว่างใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน ทำงาน เรียน หรือท่องเที่ยว จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo