“หมอเฉลิมชัย” สรุปสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป หลังจากโควิดเป็นโรคเฝ้าระวัง จะมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ต่อการดูแลรักษาตัวอย่างไรบ้าง
นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย เรื่องการเปลี่ยนโควิดจากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง โดยระบุว่า
ประกาศราชกิจจานุเบกษา ให้โควิดพ้นจากโรคติดต่ออันตราย จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้างในชีวิตประจำวันของประชาชน
นับจากที่ประเทศไทยพบโควิดรายแรกในวันที่ 8 มกราคม 2563
และติดตามมาด้วยการประกาศขององค์การอนามัยโลก ให้โควิดเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินทางสาธารณสุขของโลก
ในที่สุดประเทศไทยก็ได้ประกาศให้โควิดเป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
เมื่อเข้าสู่ปี 2565 โควิดระลอกโอไมครอน ก็ได้ทยอยพบผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตสูงขึ้นเป็นลำดับ
จนสู่จุดสูงสุดหรือพีค เมื่อเดือนเมษายน 2565 ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อ
- แบบพีซีอาร์ 27,071 รายต่อวัน
- แบบเอทีเค 49,494 รายต่อวัน
- รักษาตัวอยู่ในรพ. 67,795 เตียง
- เสียชีวิต 129 รายต่อวัน
จนกระทั่งวันนี้ (21 กันยายน 2565) สถิติต่าง ๆ ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่
- ผู้ติดเชื้อแบบพีซีอาร์เหลือ 1129 ราย
- แบบเอทีเค 13,709 ราย
- รักษาตัวอยู่ในรพ. 5721 เตียง
- เสียชีวิต 13 ราย
ด้วยแนวโน้มสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศกระทรวง ตามคำแนะนำของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ให้ปรับโควิด-19 พ้นจากโรคติดต่ออันตราย มาเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังลำดับที่ 57
โรคในกลุ่มนี้ อาทิเช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก วัณโรค หัด หัดเยอรมัน คางทูม โรคเอดส์ เป็นต้น
ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป โดยประกาศได้ลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565
ทำให้มีประชาชนให้ความสนใจกันมากว่า การเปลี่ยนแปลงโรคโควิดดังกล่าวนั้น จะมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ต่อการดูแลรักษาตัวอย่างไรบ้าง
บทความนี้จะมาสรุปโดยย่อ เพื่อให้เข้าใจเรื่องดังกล่าว
1. พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 กำหนดให้มีคณะกรรมการดูแลเกี่ยวกับโรคติดต่อ 3 ชุด ได้แก่
- คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ
- คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
- คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร
2. มีการกำหนดโรคติดต่อไว้เป็น 2 ความรุนแรงหรือ 2 ระดับ ได้แก่
2.1 โรคติดต่ออันตราย คือโรคติดต่อที่มีการแพร่ระบาดที่รวดเร็วกว้างขวาง และทำให้มีอาการรุนแรงเสียชีวิตได้มาก
2.2 โรคติดต่อต้องเฝ้าระวัง คือโรคติดต่อซึ่งมีการแพร่ระบาดและความรุนแรงน้อยกว่า แต่สมควรมีการติดตาม ตรวจสอบ และจัดเก็บข้อมูลไว้เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรค
3. ในกรณีโรคติดต่ออันตราย ทางเจ้าพนักงานผู้รับผิดชอบจะต้องรายงานผู้ติดเชื้อภายใน 3 ชั่วโมง ไปที่กรมควบคุมโรค และต้องทำการแยกกักตัวผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อ ทำการกักกันผู้สัมผัสเสี่ยงสูง และทำการควบคุมผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ เพื่อการควบคุมโรค
4. โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ให้เจ้าพนักงานรายงานไปที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสัปดาห์ละครั้ง และผ่อนคลายมาตรการแยกกัก กักกัน และควบคุมลง
5. ในส่วนของประชาชนทั่วไป เมื่อมีการติดเชื้อไม่ว่าจะรักษาเป็นผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยใน ก็จะยังคงได้รับการดูแลตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลที่มีอยู่เดิม โดยแยกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
5.1 กลุ่มสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ
5.2 กลุ่มประกันสังคม
5.3 กลุ่มบัตรทองหรือหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ซึ่งแตกต่างจากสมัยที่โควิดเป็นโรคติดต่ออันตราย ในช่วงแรกนั้นระบบสุขภาพของไทยได้เอื้อความสะดวกให้กับประชาชนทุกคน สามารถเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลได้ทุกแห่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นสถานพยาบาลต้นสังกัดเท่านั้น และไปไกลถึงขั้นสนับสนุนค่าใช้จ่ายในกรณีกักตัวที่โรงแรม หรือแยกกักตัวที่บ้านด้วย
6. หลังวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เมื่อโควิดไม่ได้เป็นโรคติดต่ออันตรายแล้ว ก็จะทำให้บรรยากาศความรู้สึก ทั้งระบบเศรษฐกิจ ระบบการใช้ชีวิตในสังคม มีการผ่อนคลายมากขึ้น
7. แต่ขณะเดียวกัน เรายังพบผู้ติดเชื้อแบบเอทีเควันละ 10,000 รายเศษ และผู้เสียชีวิตในระดับวันละ 10 ราย จึงสมควรที่จะต้องมีวินัยในการใส่หน้ากากต่อไป รวมทั้งการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มสามโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง 608 และกลุ่มบุคลากรสาธารณสุขด่านหน้า
การมีวินัยดังกล่าว อาจจะต้องเข้มงวดขึ้นด้วยซ้ำไป เพราะเมื่อคนมีความรู้สึกว่าโควิดเป็นโรคเฝ้าระวัง ไม่ใช่โรคติดต่ออันตรายแล้ว ก็อาจจะมีผู้ที่ติดเชื้อแล้วไม่ได้ตรวจ หรือตรวจแล้วไม่มีอาการ ออกมาใช้ชีวิตข้างนอกมากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะทำให้ผู้อื่นได้รับเชื้อไวรัสง่ายขึ้น
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- รวมไว้ที่นี่!! มาตรการรองรับ โควิดเป็นโรคเฝ้าระวัง เริ่ม 1 ต.ค.นี้
- 23 ก.ย. ‘ศบค.’ ถกแนวทางปฏิบัติหลังยกเลิก ‘โควิด’ เป็นโรคติดต่ออันตราย!
- ข่าวดี!! โควิดไทย เข้าสู่ขาลงเต็มตัว ‘หมอเฉลิมชัย’ ชี้ 3 ดัชนีสะท้อนชัดเจน