คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแผนและมาตรการรองรับ โควิด เป็นโรคเฝ้าระวังเริ่ม 1 ตุลาคมนี้ เช็ครายละเอียดที่นี่
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2565 โดยมี นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และคณะกรรมการจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วม
นายอนุทินกล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 มีแนวโน้มดีขึ้นทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย โดยผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยกำลังรักษา ผู้ป่วยหนัก และผู้เสียชีวิตมีจำนวนลดลงต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ มีภูมิต้านทานจากการฉีดวัคซีนโควิด 19 ครอบคลุมมากกว่า 82% และบางส่วนมีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อ
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคจำนวนหนึ่งที่ต้องขอให้มารับวัคซีนให้ครบ เพื่อให้มีความพร้อมเข้าสู่การดำเนินชีวิตที่เป็นปกติมากที่สุด
เปิดมาตรการรองรับ โควิด เป็นโรคเฝ้าระวัง
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบ 2 เรื่องสำคัญ ดังนี้
เรื่องแรก เห็นชอบแผนปฏิบัติการควบคุมโรคโควิด 19 รองรับการให้ โควิด เป็นโรคเฝ้าระวัง (ตุลาคม 2565 – กันยายน 2566) ซึ่งได้ลงนามยกเลิกโรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่ออันตราย และปรับเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ลำดับที่ 57 ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป
พร้อมกันนี้ มียุทธศาสตร์ 4 ด้าน ได้แก่
1. ด้านการป้องกัน เฝ้าระวังและควบคุมโรค
2. ด้านการแพทย์และรักษาพยาบาล
3. ด้านการสื่อสารความเสี่ยง ประชาสัมพันธ์ และข้อมูลสารสนเทศ
4. ด้านบริหารจัดการ กฎหมาย สังคมและเศรษฐกิจ
จากนี้ จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป และให้ทุกจังหวัดจัดทำแผนปฏิบัติการดังกล่าวเพื่อให้เกิดความพร้อมทุกด้าน โดยจะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง หากมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น อาจประกาศพื้นที่โรคระบาดตามความจำเป็น
เรื่องที่ 2 ได้เห็นชอบมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคโควิด 19 รองรับการเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง
- ก่อนเข้าประเทศ ยกเลิกแสดงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเอกสารวัคซีนหรือผลการตรวจ ATK โรคโควิด 19 ยกเว้นโรคไข้เหลืองที่ยังดำเนินการตามปกติ
- ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ยกเลิกการสุ่มตรวจสอบบันทึกการฉีดวัคซีนโควิด 19 โดยยังคงการเฝ้าระวังผู้เดินทางที่มีอาการป่วยของโรคติดต่ออันตรายหรือโรคติดต่ออุบัติใหม่
- ปรับมาตรการแยกกักสำหรับผู้ป่วยอาการน้อย/ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ไม่แสดงอาการให้ปฏิบัติตาม DMHT อย่างเคร่งครัด 5 วัน
- ให้คำแนะนำแก่ประชาชนให้มีพฤติกรรมป้องกันตนเองอย่างถูกต้องเหมาะสม เช่น การสวมหน้ากาก ล้างมือ ตรวจ ATK เมื่อมีอาการ
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบอีก 4 เรื่อง คือ
1. แผนบริหารจัดการวัคซีนและการให้วัคซีนโควิด 19 (วัคซีนไฟเซอร์ฝาสีแดงเข้ม) ในเด็กอายุ 6 เดือน-4 ปี คาดว่าเริ่มให้บริการได้ช่วงกลางเดือนตุลาคม 2565 ตามความสมัครใจของผู้ปกครองและเด็ก โดยไม่ได้เป็นเงื่อนไขในการไปโรงเรียน
แต่แนะนำให้เด็กทุกคนเข้ารับวัคซีน โดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต
2. แนวทางการใช้ Long Acting Antibody (LAAB) ของประเทศไทย ที่มีการปรับปรุงเพิ่มเติม ในประชาชนกว่า 3.5 พันคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับวัคซีนแล้ว แต่ภูมิคุ้มกันไม่ขึ้น เพื่อให้มีภูมิต้านทานต่อเชื้อโควิด 19 ต่อไป
3. แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย การดูแลรักษา และการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคโควิด 19 หลังการระบาดใหญ่ (Post-pandemic)
กระทรวงสาธารณสุข ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรองรับ เพื่อให้ประชาชนยังสามารถใช้สิทธิการรักษาเช่นเดียวกับโรคทั่วไป ทั้งการเข้าถึงการรักษาและได้รับยาต้านไวรัสตามแนวทางการรักษาล่าสุด รวมถึงการแยกกักผู้ป่วยที่สอดคล้องกับสถานการณ์ระยะต่อไป
4.โครงการการใช้ยาคลอโรควิน เพื่อป้องกันและลดการแพร่เชื้อมาลาเรียชนิดพลาสโมเดียม ไวแวกซ์ ในพื้นที่ที่มีการระบาดบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- โควิดวันนี้ 21 ก.ย. ทั่วโลกติดเชื้อ 618.04 ล้านคน ‘อียู’ เตือนรับมือระลอกใหม่ แนะใช้ ‘วัคซีนปรับสูตร’
- 23 ก.ย. ‘ศบค.’ ถกแนวทางปฏิบัติหลังยกเลิก ‘โควิด’ เป็นโรคติดต่ออันตราย!
- โควิดขาลง! ‘ศบค.’ เตรียมประชุมประเมินสถานการณ์ในประเทศ 23 ก.ย.นี้