COVID-19

‘หมอธีระ’ เปิด 3 สาเหตุหลักทำโควิดปะทุในประเทศอีกรอบ ย้ำ! ติดแล้ว ติดซ้ำได้

“หมอธีระ” เปิด 3 สาเหตุหลักทำโควิดปะทุในประเทศอีกรอบ ย้ำ! ติดโควิดแล้ว ติดซ้ำได้ เสี่ยงป่วยรุนแรงมากขึ้น ตายมากขึ้น เตือนป้องกันตัวให้รัดกุม ใส่หน้ากากเสมอ

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า 4 กรกฎาคม 2565 เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 316,674 คน ตายเพิ่ม 462 คน รวมแล้วติดไป 554,313,474 คน เสียชีวิตรวม 6,361,227 คน

หมอธีระ

5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ อิตาลี ไต้หวัน ออสเตรเลีย เม็กซิโก และญี่ปุ่น

เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 6 ใน 10 อันดับแรก และ 14 ใน 20 อันดับแรกของโลก

จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็น 69.06% ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็น 73.37%

…สถานการณ์ระบาดของไทย

จากข้อมูล Worldometer เช้านี้พบว่า

จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก และอันดับ 2 ของเอเชีย แม้สธ.ไทยจะปรับระบบรายงานตั้งแต่ 1 พ.ค.จนทำให้จำนวนที่รายงานนั้นลดลงไปมากก็ตาม

หมอธีระ

…การติดเชื้อปัจจุบันของไทย

ในแต่ละวัน รอบตัวเรามีคนติดเชื้อจำนวนมาก

เท่าที่ประเมินจากวงรอบที่รายงานมา สาเหตุที่พบบ่อย 3 อันดับแรก คือ

  1. สมาชิกในครอบครัวที่ติดจากเด็ก ๆ นักเรียน นิสิตนักศึกษา ซึ่งติดมาจากโรงเรียนหรือสถานศึกษา
  2. คนวัยทำงานติดจากการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งในที่ทำงานจากเพื่อนร่วมงาน และระหว่างการกินอาหารร่วมกัน
  3. สุดท้ายคือ การติดเชื้อจากการปาร์ตี้สังสรรค์ในทุกเพศทุกวัยทุกอาชีพ

BA.5 มีสมรรถนะในการแพร่เชื้อเร็ว ดื้อต่อภูมิคุ้มกันทั้งจากวัคซีน ภูมิคุ้มกันจากการที่เคยติดเชื้อมาก่อน และดื้อต่อยาแอนติบอดี้ที่ใช้รักษาหลายชนิด

ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ข้างต้น เราจึงไม่แปลกใจที่เกิดการแพร่ระบาดปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็วในกว่า 110 ประเทศทั่วโลกตอนนี้ รวมถึงประเทศไทย

เสรีการใช้ชีวิต ย้อนกลับไปใช้ชีวิตแบบอดีต ลัลล้าโดยไม่ป้องกันตัว ย่อมทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแพร่เชื้อกันไปอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงต้องยอมรับความจริงว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ให้ทำมาหากิน ศึกษาเล่าเรียน รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันนั้น จำเป็นต้องทำไปโดยใช้ชีวิตอย่างมีสติ ป้องกันตัวอยู่เสมอเป็นกิจวัตร

หมอธีระ
การตัดสินใจประกาศนโยบายถอดหน้ากากในที่สาธารณะ หรือให้ใส่ตามความสมัครใจ ท่ามกลางสถานการณ์ระบาดทั่วโลกและในประเทศที่ยังกระจายทั่วนั้น จึงไม่ใช่ทิศทางที่ถูกต้อง

การใส่หน้ากากระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็น หากใส่ใจต่อสุขภาพของตนเองและคนรอบตัว และจะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก

…หาโอกาสพัฒนาในภาวะวิกฤติ

จะเห็นได้ว่า จากลักษณะการติดเชื้อปัจจุบันมักเกิดในโรงเรียน/สถานศึกษา ครอบครัว ที่ทำงาน และวงสังสรรค์
ธรรมชาติของโรคติดต่อนั้น จะแพร่ได้เกิดจากจำนวนคน ความใกล้ชิด ระยะเวลาที่คลุกคลีและสัมผัสกัน การระบายอากาศ และการป้องกันตัว

การติดเชื้อในครอบครัวน่าจะจัดการป้องกันได้ยาก ทางที่พอทำได้คือ การคอยสังเกตสังกาอาการผิดปกติของสมาชิก และรีบตรวจรีบแยกตัวรีบรักษาโดยเร็ว และประเมินตนเองเสมอว่ามีพฤติกรรมเสี่ยงนอกบ้านมาหรือไม่ (early detection and early treatment)

ในขณะที่โรงเรียน สถานศึกษา ที่ทำงาน และสถานที่จัดงานสังสรรค์นั้น หากเกิดเหตุการณ์ติดเชื้อขึ้นมาจำนวนมาก ผู้ที่เกี่ยวข้องควรประเมินระบบของตนเองอย่างถี่ถ้วนว่าพอจะปรับปรุงสถานที่ และกระบวนการทำงาน/กิจกรรมต่าง ๆ ให้สามารถลดความแออัด เพิ่มวิธีระบายอากาศให้ถ่ายเท และเพิ่มกระบวนการตรวจคัดกรองต่าง ๆ ให้รัดกุมขึ้นได้หรือไม่

หมอธีระ

สุดท้าย คือ การที่ทุกคนป้องกันตัวให้รัดกุม ใส่หน้ากากเสมอ เวลาออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ก็จะช่วยลดโอกาสเกิดการระบาดในที่ต่าง ๆ ได้

โควิด…ติดเชื้อไม่จบแค่ชิล ๆ แล้วหาย แต่ป่วยได้ ตายได้ และเสี่ยงต่อ Long COVID ที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต

สมรรถนะในการใช้ชีวิตและการทำงาน รวมถึงเป็นภาระค่าใช้จ่ายต่อผู้ป่วย ครอบครัว และประเทศ

ติดเชื้อแล้ว ก็ติดซ้ำได้ และติดเชื้อซ้ำ จะมีโอกาสป่วยรุนแรงมากขึ้น โอกาสเสียชีวิตมากขึ้น หลายเท่า

Long COVID ยังไม่มีวิธีที่จะป้องกันหรือรักษาได้แบบเฉพาะเจาะจง แม้ฉีดวัคซีนแต่ลดโอกาสได้ราว 15%
ดังนั้นการป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อย่อมดีที่สุด

เป็นกำลังใจให้เราช่วยกันพัฒนาระบบการใช้ชีวิตที่รัดกุมขึ้น เพื่อให้สามารถทำมาหากิน ศึกษาเล่าเรียนได้อย่างปลอดภัยไปด้วยกัน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK