กรมวิทย์ฯ คาดไม่เกิน 1-2 สัปดาห์โอไมครอน BA.2 ครอบครองพื้นที่ 100% ลั่น ทุกสูตรวัคซีนทั้ง 2 เข็ม หรือ 3 เข็มกระตุ้นภูมิฯได้
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดี กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากยอดรวมผู้ติดเชื้อโควิดสะสมขณะนี้กว่า 3 ล้านคน พบว่า โอไมครอน BA.2 ขึ้นไปถึง 95.9% เหลือ BA.1 แค่ 4% ดังนั้น ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์เกือบ 100% จะเป็น BA.2 เพราะแพร่เร็วกว่า ส่วนเดลตาแทบไม่เหลือในไทยแล้ว
สำหรับการตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันในคนที่ได้รับวัคซีน เป็นวิธีมาตรฐานโลก คือวิธี PRNT โดยการนำภูมิคุ้มกันในน้ำเลือดของคนได้รับวัคซีนนำมาสู้กับไวรัสBA.2 ที่เพาะเลี้ยงขึ้นมา แต่การขึ้นค่อนข้างช้า ทำให้การทดสอบต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
หลังจากได้จำนวนไวรัสเพียงพอ โดยหลักการง่าย ๆ คือ นำน้ำเลือดมาทำการเจือจางลงไปเป็นเท่า ๆ เช่น 1 ต่อ10, 1 ต่อ 40, 1 ต่อ 160 ไล่จนถึงจุดที่ฆ่าตัวรัสได้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า เป็น PRNT50 คือเมื่อฆ่าได้ครึ่งหนึ่งจึงเป็นจุดที่หยุด เพราะตัวเลขเจือจางถึงในระดับที่ต้องการ เช่น หากเจือจางถึง 100 เท่าฆ่าได้ครึ่งหนึ่งจะเป็นไตเตอร์ 100
อย่างไรก็ตาม วิธีดังกล่าว ต้องตรวจในห้องปฏิบัติการที่มีความปลอดภัยระดับ 3 เท่านั้น ไม่สามารถทำได้ในแล็ปทั่วไป ขณะนี้มีเพียงกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แห่งเดียวทำได้ โดยใช้เวลาตรวจถึง 7-8 วัน
ส่วนผลที่ออกมา ซึ่งเป็นการทยอยตรวจในแต่ละช่วงเวลา เบื้องต้นจากกราฟสีน้ำเงินและสีแดง โดยกรณีคนฉีดวัคซีน 2 เข็ม จากซิโนแวค กับแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งสูตรไขว้ และยังมีแอสต้าฯ กับแอสตร้าฯ และมีไฟเซอร์ 2 เข็ม และมีซิโนแวค ตามด้วยไฟเซอร์ และยังมีแอสตร้าฯ ตามด้วยไฟเซอร์
นอกจากนี้ ยังมีการฉีด 3 เข็ม คือ ซิโนแวค ซิโนแวคและแอสตร้าฯ รวมทั้งยังมีซิโนแวค 2 เข็มตามด้วยไฟเซอร์ และมีแอสตร้าฯ 2 เข็ม ตามด้วยไฟเซอร์ รวมถึงสูตรซิโนแวค แอสตร้าฯ ตามด้วยไฟเซอร์ และสูตรซิโนแวค แอสตร้าฯ และตามด้วยแอสตร้าฯ เข็ม 3
จากการศึกษาพบว่า เบื้องต้นคนที่ฉีดไม่ว่าสูตรไหนก็ตาม มีภูมิคุ้มกันที่ลบล้างฤทธิไวรัสโอไมครอน BA.2 สูงกว่า BA.1 ดังนั้น ที่กังวลว่า BA.2 จะหลบวัคซีนได้มาก น่าจะไม่จริง
ขณะที่ผู้ฉีดวัคซีน 3 เข็ม หรือบูสเตอร์ พบว่า ภูมิคุ้มกันขึ้นสูงขึ้นพอสมควร จึงเป็นสาเหตุต้องให้มาฉีดเข็ม 3 โดยหากเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน คนที่ฉีดซิโนแวค 2 เข็มภูมิแทบไม่เหลือ หรืออยู่ที่เฉลี่ย 11 นิด ๆ ส่วนแอสตร้าฯ กับแอสตร้าฯ ขึ้นไปประมาณ 26
ทั้งนี้ หากเวลาผ่านไป 2-3 เดือนก็จะเหลือยิ่งน้อย แต่หากถูกบูสด้วยเข็มที่ 3 เช่น ซิโนแวค 2 เข็มเติมด้วยแอสตร้าฯ หรือไฟเซอร์ ก็จะเป็น 61 และ 94 ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร อยู่ในระดับที่พอจะช่วยป้องกันโรคได้
นอกจากนี้ กรมควบคุมโรค ยังมีข้อมูลตัวเลขจริง โดยนำประวัติผู้ติดเชื้อเสียชีวิตต่อล้านคนมาเทียบ พบว่าคนไม่ฉีดวัคซีนเสียชีวิตไปที่ 767 ต่อล้านคน ขณะที่ฉีดวัคซีน 1 เข็มเหลือเสียชีวิต 366 ต่อล้านคน เมื่อฉีด 2 เข็ม เหลือ 145 ต่อล้านคน แต่เมื่อฉีดวัคซีนบูสเตอร์เป็น 3 เข็มจะพบเสียชีวิต 25 ต่อล้านคน หรือเสียชีวิตลดลง 31 เท่า ส่วนฉีด 4 เข็มยังไม่มีใครเสียชีวิตเลย เพราะตัวเลขฉีดยังน้อยอยู่
ข้อมูลนี้คอนเฟิร์มได้ว่า ใครลังเล หรือรับข้อมูลสร้างความสับสน ทำให้ไม่อยากฉีดวัคซีน กรุณาดูข้อมูลตรงนี้ และเลือกว่าจะเสี่ยงอย่างไร ทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริง ตัวเลขไม่ได้โกหกใคร
จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้เห็นได้ชัดว่า ฉีด 2 เข็มไม่พอ ต้องกระตุ้นด้วยเข็ม 3 จะช่วยป้องกัน และลดการแพร่เชื้อในระดับหนึ่ง และอธิบายได้ว่า ตอนนี้คนไม่ค่อยมีอาการ อาการไม่ค่อยหนัก เพราะส่วนหนึ่งภูมิร่างกายจัดการเชื้อไปส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้ทั้งหมด ยังแพร่เชื้อได้ แต่ลดความรุนแรง ลดการเสียชีวิต ปอดอักเสบได้
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- วัคซีนไม่ใช่ขนม ‘หมอนิธิ’ เตือนฉีดเข็ม 4 เข็ม 5 ต้องรอจังหวะเหมาะสม
- สิ้นสุดการรอคอย!!อย. ขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ‘โนวาแวกซ์’ ใช้กรณีฉุกเฉิน
- กักตัวครบ 10 วัน อย่าวางใจ ‘ดร.อนันต์’ แนะตรวจ ATK ซ้ำ เพื่อความชัวร์