“หมอเฉลิมชัย” สรุปความก้าวหน้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาวัคซีนของไทย ทั้ง วัคซีน ChulaCOV-19 และใบยาไฟโตฟาร์ม คาดเริ่มฉีดให้ประชาชนกลางปี 2565
นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chalermchai Boonyaleepun เผยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงความคืบหน้าล่าสุด วัคซีนของไทยจะสามารถฉีดให้ประชาชนได้ในกลางปี 2565
จากการที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ได้ริเริ่มทำการวิจัยพัฒนาวัคซีน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงสุด และมักจะประสบความสำเร็จเฉพาะในประเทศรายได้สูงนั้น
ขณะนี้ มีการวิจัยค้นคว้าวัคซีนอยู่ 300 ชนิด ทดลองในมนุษย์แล้ว 100 ชนิด จดทะเบียนฉุกเฉิน 14 ชนิด ใช้ทั่วไปในบางประเทศได้ 8 ชนิด
ทั้งหมด ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินวิจัยนับหลายหมื่นล้านบาทต่อโครงการ และเกิดขึ้นในประเทศร่ำรวยทั้งสิ้น
ไทยซึ่งเป็นประเทศรายได้ปานกลาง เมื่อตั้งต้นจะวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด จึงมีความคิดเห็น เชิงตั้งคำถามสงสัย ว่าจะทำได้และสำเร็จจริงหรือไม่
แต่ด้วยความที่ประเทศไทย แม้เป็นประเทศรายได้ปานกลางกำลังพัฒนา แต่ในเรื่องขององค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์นั้นอยู่ในขั้นสูง
จนขณะนี้ ไทยเรามีวัคซีนอยู่ 6 เทคโนโลยี ที่อยู่ในระหว่างการทดลองวิจัย
วานนี้ 18 พฤศจิกายน 2564 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดแถลงข่าว ความคืบหน้าของวัคซีนโควิดไทยคือ
วัคซีนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสองชนิด ได้แก่ เทคโนโลยี mRNA และเทคโนโลยีโปรตีนซับยูนิต (Protein subunit) โดยมีสาระสำคัญที่สมควรแก่การรับทราบและติดตาม ดังนี้
- วัคซีน ChulaCOV-19 (mRNA) ของไทย จะสามารถฉีดให้กับประชาชนได้ในกลางปี 2565
- วัคซีนใบยาไฟโตฟาร์ม (Protein subunit)จะฉีดให้กับคนไทยได้ในปลายปี 2565
หมอเฉลิมชัย ไล่เรียงไทม์ไลน์ การพัฒนาวัคซีนไทย
ความคืบหน้าของวัคซีนเทคโนโลยี mRNA
1. ทดลองในมนุษย์เฟส 2 เสร็จสิ้นแล้ว
2. จะเริ่มทดลองเฟส 3ในเดือนมกราคม 2565
3. การทดลองเฟส 3 จะเสร็จสิ้นในปลายเดือนมีนาคม 2565
4. จะสามารถนำมาฉีดในมนุษย์ได้กลางปี 2565
5. กำลังจะเริ่มทดลองวัคซีนรุ่นที่ 2 เพื่อรับมือไวรัสกลายพันธุ์ (ขณะนี้ทดลองอยู่ในหนู)
จุดเด่นของวัคซีน
1. ตัวหุ้มไขมันดีมากในระดับเท่ากับPfizer และ Moderna
2. สามารถเก็บรักษาได้ง่ายกว่า คือเก็บที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียสนานถึง 3 เดือน ในขณะที่ของ Pfizer เก็บได้เพียง 1 เดือน
3. สามารถกระตุ้น T-cell ได้ดีมาก ร่วมไปกับการกระตุ้น B-cell ให้สร้างภูมิคุ้มกันได้สูงมากเช่นกัน
ส่วนวัคซีนของบริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม ซึ่งเป็นโปรตีนซับยูนิต มีความคืบหน้าดังนี้
1. กำลังทดลองเฟส 1 ในมนุษย์
2. จะเริ่มทดลองเฟส 2ในเดือนหน้า
3. จะเสร็จสามารถฉีดในมนุษย์ได้ ในปลายปี 2565
4. วัคซีนรุ่นที่ 2 เพื่อรองรับไวรัสกลายพันธุ์ จะเริ่มทดลองคู่ขนานในเดือนมกราคม 2565
จุดเด่นของวัคซีน
1. เป็นเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ดี สามารถผลิตได้เป็นจำนวนมาก
2. จะสามารถเป็นฐานเทคโนโลยี ในการพัฒนาวัคซีนตัวอื่น ๆ สำหรับโรคระบาดต่อไป รวมทั้งยารักษาโรคมะเร็งด้วย
ทั้งนี้งบประมาณในการวิจัยทดลองวัคซีน จนสามารถฉีดในมนุษย์ได้ ในต่างประเทศจะต้องใช้เงินในระดับหลายหมื่นล้านบาท
ส่วนของประเทศไทย โครงการวัคซีน mRNA ได้รับการอนุมัติเงินจำนวน 2,300 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการทดลองอาสาสมัครจำนวน 30,000 คน รวมถึงการจัดเตรียมวัสดุและการผลิตวัคซีนอีกนับล้านโดส
ในขณะที่วัคซีนของใบยาไฟโตฟาร์ม ได้รับกรอบอนุมัติ 1,000 ล้านบาท โดยจะต้องทำการพิสูจน์ผลการวิจัยในเฟสสองให้เสร็จสิ้นเรียบร้อย ถึงจะสามารถเริ่มใช้กรอบ 1,000 ล้านบาทนี้ได้
ในช่วงที่ผ่านมา งบประมาณแผ่นดินของประเทศ ใช้เป็นหลักสองในสาม และเงินบริจาคจากประชาชนหนึ่งในสาม ในการพัฒนาเฟสหนึ่งและสอง
ส่วนการพัฒนาในเฟสสาม จะต้องใช้เงินมากกว่าหลายเท่าตัว รัฐบาลจึงจัดสรรงบประมาณจำนวนมากดังกล่าวมาให้ ซึ่งก็ยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับงบประมาณที่ใช้ในการวิจัยวัคซีนของต่างประเทศ ซึ่งใช้สูงกว่าไทยนับหลายสิบเท่าตัว
ก็คงต้องชื่นชม ต้องให้กำลังใจ และต้องขอบคุณต่อ นักวิทยาศาสตร์ทีมงานทั้งหมด ผู้สนับสนุนต่าง ๆ ทั้งมหาวิทยาลัย รัฐบาล ประชาชน เอกชน ตลอดจนอาสาสมัครที่เข้ามาในร่วมในโครงการ
ทำให้ไทยมีโอกาสที่จะยืนบนขาของตนเอง ทั้งในเรื่องวัคซีนโควิด-19 วัคซีนต่อโรคระบาดอื่น ๆ และยารักษาโรคร้ายแรงอื่น ๆ ในอนาคตต่อไป
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ทำไม? ไทยหลุดโผ ไม่ได้สูตรยาแพกซ์โลวิดจากไฟเซอร์ ‘หมอเฉลิมชัย’ มีคำตอบ
- งานวิจัยจุฬาฯ ล่าสุด ฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม ภูมิลดไว รีบกระตุ้นด่วน
- ด่วน!! วัคซีนใบยา เปิดรับอาสาสมัคร กลุ่มผู้สูงอายุ 61-75 ปี ร่วมทดสอบวัคซีน