COVID-19

เปิดประเทศ ระวังโกลาหลรอบใหม่ ‘หมอนิธิพัฒน์’ ห่วงโควิดใต้ระอุ แนะตั้ง ศบค.เฉพาะกิจภาคใต้

โควิดใต้ระอุ “หมอนิธิพัฒน์” หวั่นเปิดประเทศ คลายล็อก คนออกทำกิจกรรมนอกบ้าน สร้างความโกลาหลรอบใหม่ แนะตั้ง ศบค.เฉพาะกิจภาคใต้

รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก นิธิพัฒน์ เจียรกุล ถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่หวั่นจะทำให้เกิดความโกลาหลรอบใหม่ โดยระบุว่า

โควิดใต้

กลิ่นนั้นสำคัญไฉน โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับโควิด เราคงคุ้นเคยกับอาการจมูกไม่รับกลิ่น หรือรับกลิ่นน้อยลงกันมานานมากแล้ว ซึ่งอาการนี้ยังอาจหลงเหลือเป็นส่วนหนึ่งของ กลุ่มอาการลองโควิด ได้ แต่จะค่อย ๆ จางหายเมื่อเวลาผ่านไป หลงเหลือก็แต่ร่องรอยเพียงน้อยนิด

ช่วงนี้ชักได้กลิ่นทะแม่งๆ โชยมา 3 กลิ่น ที่อาจเป็นลางบอกเหตุให้ควรกังวล หรือถ้าคิดแบบโลกสวย อาจเป็นเคล็ดไม่ให้เกิดความกังวลในอนาคตก็ได้ ลองไล่เลียงกันไปทีละกลิ่นดู

เริ่มจากวันก่อนตรวจผู้ป่วยในคลินิกโรคปอดรายหนึ่งเสร็จ เป็นคุณลุงวัยเกิน 70 ปีที่ดูแลผ่านร้อนผ่านหนาวยามเผชิญโรคร้ายรุมเร้ากันมากว่า 20 ปี ท่านยื่นซองน้อยสีชมพูที่หาดูกันได้ยากแล้วในปัจจุบัน พร้อมกับเอื้อนเอ่ยว่า ไว้เป็นค่าน้ำมันนะหมอ

เอ๊ะ หรือท่านเตือนว่า ชีพจรอาจต้องลงเท้า ให้ได้ขับรถไปเที่ยวตระเวนเยี่ยมศิษย์รับมือโควิดระลอกใหม่ ได้กล่าวตอบรับและขอบคุณท่านไป พร้อมขออนุญาตท่านนำเงินในซองไปบริจาคเข้า โครงการต่อลมหายใจ ในศิริราชมูลนิธิ เผื่อใช้ในการจัดหาเครื่องมือทางการแพทย์ต่อสู้กับโควิดไว้สนับสนุนให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลน

กลิ่นถัดมา หลังอ่านแถลงการณ์ค่อนข้างยาวของนายกรัฐมนตรี เรื่องโควิด โดยกำกับว่าเป็น ก้าวเล็ก ๆ แต่เป็นก้าวที่สําคัญ ระหว่างการเลือกปกป้องชีวิตหรือปกป้องปากท้องประชาชน

ที่จริงการปกป้องทั้งสองสิ่งนี้ ไม่ควรคิดแยกจากกันโดยเด็ดขาด ต้องประมวลผลให้รอบด้าน และกำหนดเป็นนโยบายที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปเสมอ

ขอบคุณท่านที่ให้เกียรติรับฟังข้อเสนอแนะจากบุคลากรสาธารณสุข ตลอดเวลาปีกว่าที่ผ่านมา หวังว่าเสียงสะท้อนของพวกเราจะถูกนำไปประมวลผลเชิงนโยบายอย่างใส่ใจเช่นนี้ต่อไป

การจะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวความเสี่ยงต่ำ คงไม่ก่อปัญหาอะไรนัก เว้นการนำเข้าเชื้อกลายพันธุ์ที่ท่านกังวล ซึ่งน่าจะไม่เหลือวิสัยบุคลากรเราในการตรวจจับและควบคุม

แต่สิ่งสำคัญที่จะตามมาอื่น ๆ อีกมากมาย คือ จะมีกิจกรรมนอกบ้านของคนในประเทศมากขึ้น ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมการรวมกลุ่ม ซึ่งสุ่มเสี่ยงอย่างที่เห็นกันมาในอดีต โดยหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบกำกับดูแล ไม่สามารถปฏิบัติในมอบหมายให้ได้ดั่งใจของประชาชน

ในโรดแมปที่แสดงมาหลายกระบุงโกยนั้น ไม่ได้ให้หลักประกันที่ชัดเจนกับประชาชนเลยว่า จะทบทวนมาตรการ โดยยอมรับสถานการณ์การควบคุมโรคได้ที่ระดับใด

เช่น จำนวนผู้ป่วยอาการหนัก และอัตราการใช้เตียงไอซียูโควิด ที่ปัจจุบันแม้จะลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อกลางเดือนสิงหาคมมากว่าครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ผู้ป่วยที่ตกค้างอยู่และเพิ่มเข้ามาใหม่ช้า ๆ ยังคงเป็นกลุ่มเปราะบางที่การพยากรณ์โรคไม่ดี และต้องใช้ทรัพยากรสุขภาพในการดูแลมากเป็นพิเศษ

หากมีการระบาดของโรคเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน จนทำให้จำนวนผู้ป่วยอาการหนักเพิ่มจากระดับ 3,000 คนในขณะนี้ ไต่ไปเรื่อย ๆ จนแตะที่ 4,000 คน รับรองว่า ความโกลาหลหนักจะมาเยือนใหม่แน่ แล้วเราก็จะต้องมานั่งขบคิดเลือกระหว่างปกป้องชีวิตกับปากท้องกันรอบใหม่อีกครั้ง

โควิด 1

โปรดใส่ใจมัชฌิมาปฏิปทา เพื่อเลือกเดินในทางสายกลาง จักเป็นคุณมากกว่าโทษ

กลิ่นสุดท้าย คือเค้าลางความยุ่งยากของ สถานการณ์โควิดใต้ ที่ร้อนระอุจนใกล้ย่างเข้าสู่เหตุวิกฤติเหมือนในกทม. และปริมณฑลเมื่อสองเดือนก่อน โดยมีความยากจากลักษณะเฉพาะในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จนบัดนี้ยังไม่เห็นแผนการแก้ไขที่ชัดเจนของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องแสดงออกมามากนัก

ในยามที่มีแต่กระแสเรื่องการผ่อนคลาย ควบคู่ไปกับการเตรียมตัวทางการเมือง สู่การเลือกตั้งทั้งในระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น ที่จะนำร่องมาก่อน อยากเห็นการขับเคลื่อนบูรณาการสรรพกำลังของหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชน เข้าแก้ไขปัญหาอย่างเต็มความสามารถ ทั้งหน่วยงานในพื้นที่และหน่วยงานนอกพื้นที่ที่สถานการณ์โควิดเริ่มเบาบาง

แนะตั้งศบค.เฉพาะกิจภาคใต้ คุมโควิดใต้

แม้ส่วนตัวจะไม่ชอบเห็นการรวมอำนาจเข้ามาจากระบบปกติที่มีอยู่เดิม แต่ของที่มีอยู่ ค่อนข้างจะง่อยเปลี้ยในการทำงานร่วมกัน เพื่อรับมือกับภาวะวิกฤต รูปแบบ ศบค.เฉพาะกิจภาคใต้ อาจเป็นตัวเลือกที่ต้องหันมาพิจารณา

ปิดท้ายกันด้วยเรื่องเชิงวิชาการของ กลิ่นกับโควิด ปกติมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จะมีการปล่อยกลิ่นบางอย่างออกมาในน้ำลาย ลมหายใจ และทวารอื่นของร่างกาย โดยเฉพาะสารพวก volatile organic compounds (VOCs) ซึ่งเมื่อเราเจ็บป่วย เช่น มีการติดเชื้อบางชนิด หรือ เกิดโรคมะเร็งในบางอวัยวะ จะมีการสร้างกลิ่นที่มีลักษณะจำเพาะขึ้นมาแตกต่างจากกลิ่นของคนปกติทั่วไป

เรื่องแรกเป็นของทีมนักวิจัยจากโคลัมเบีย ดินแดนขึ้นชื่อในการใช้สุนัขดมกลิ่นหายาเสพติด เขาฝึกน้องหมาสามตัวให้คุ้นชินกับการแยกแยะกลิ่นน้ำลายของคนที่ป่วยด้วยโรคโควิด-19 จากคนไข้อื่นและจากเจ้าหน้าที่รพ.ที่ไม่ป่วย

กลิ่น crop 1

จากนั้นได้นำไปทดสอบในสถานการณ์จริงกับผู้ใช้บริการในสถานีขนส่งมวลชน พบว่าความสามารถในการแยกได้ถูกต้อง เมื่อน้องหมาไม่ได้กลิ่นผิดปกติ ยังคงสูงลิ่วกว่า 99% เหมือนช่วงทดลอง แต่ความสามารถในการแยกได้ถูกต้อง เมื่อน้องหมาได้กลิ่นอายของโควิด ตกลงมาจาก 70% เหลือเพียง 30%

ทั้งนี้อาจเป็นผลจากตัวกวนในช่วงระยะต่าง ๆ ของการดำเนินโรค และกลิ่นรบกวนที่อาจมาจากเหตุอื่นในชีวิตจริง

https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0257474

อีกเรื่องหนึ่งมาจากทีมนักวิจัยจีนเจ้าเก่า เกิดไอเดียนำ AI มาใช้งานแทนจมูกและสมองของน้องหมา เพื่อวิเคราะห์กลิ่นของ VOCs 12 ชนิดที่ได้จากลมหายใจของผู้ป่วยโควิด แยกแยะจากกลุ่มคนอื่นคล้ายในการทดลองเรื่องแรก แถมมีเพิ่มผู้ป่วยติดเชื้อในระบบการหายใจอื่นที่ไม่ใช่โควิดเข้ามาด้วย

คงกลัวว่าเมื่อใช้งานสุนัขดมกลิ่นไปนาน ๆ เข้าแล้ว เจ้าตัวอาจใส่เกียร์ว่างทำงานไม่คงเส้นคงวา เลียนแบบมนุษย์ที่คอยมีหน้าที่ควบคุม คล้ายเหตุเกิดขึ้นจริงในสถานการณ์โควิดของประเทศไทย

ผลปรากฏว่าเจ้าสมองกลทำหน้าที่แยกแยะได้ผลดีไม่ต่างจากสมองของเจ้าสัตว์หน้าขน เพียงแต่ว่ายังไม่ได้มีการนำไปทดลองใช้ในสถานการณ์จริง https://iopscience.iop.org/…/10.1088/1752-7163/ac2e57/pdf

วันครบรอบการจากไปของมหาบุรุษท่านหนึ่งที่สถิตในใจปวงชนชาวไทย มาร่วมน้อมนำคำสอนและข้อชี้แนะของท่านในต่างกรรมต่างวาระ เพื่อใช้ส่องนำทางให้ก้าวผ่านสถานการณ์โควิดต่อไปได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

#เมื่อไหร่จะไปทั้งโควิดลองและลองโควิด

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo