COVID-19

‘หมอธีระวัฒน์’ ลั่น หมดเวลาเลกเชอร์ ต้องเทคแอคชั่น ก่อนล่มสลายเพราะโควิด

“หมอธีระวัฒน์” เตือนฝ่ายนโยบาย หมดเวลาฟังคำบรรยายสวยหรู ต้องรีบเทคแอคชั่น ลดความซ้ำซ้อน ก่อนประเทศล่มสลายเพราะโควิด 

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” ย้ำแนวทางสู้โควิดต้อง นิวฟิวเจอร์ ไม่ใช่แค่นิวนอร์มอล โดยระบุว่า

หมอธีระวัฒน์

“นิวฟิวเจอร์ ไม่ใช่เพียงนิวนอร์มอล

ล่วงเลยมาจนกระทั่งถึงวันนี้และที่เราประสบพบผ่านมาทุกยุคทุกสมัยในประเทศไทย แต่ที่เห็นชัดเจนแจ่มแจ้งให้คนไทยทุกหมู่เหล่าทุกเพศทุกวัยไม่ว่ายากดีมีจน เห็นตรงกันก็คือในเวลานี้ โควิดสร้างผลกระทบได้เสมอภาค ยกเว้นแต่คนที่ฉวยโอกาส ซ้ำเติมหากำไรบนชีวิตของคนอื่นทั้งหมด

และคนอีกกลุ่มที่มีหน้าที่ในการบริหารจัดการสั่งการ แต่ความที่ห้อมล้อมด้วยบริวาร และคนที่พร้อมที่จะโปรยข้อมูลความเห็น ให้ฟังดูสวยหรู และแล้วผลลัพธ์ก็คือเกิดความบิดเบี้ยว ในวิถีทางที่ควรจะเป็น และเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้วให้หนักขึ้นไปอีก

สภาพเก๋ไก๋ที่เป็นสัญลักษณ์ในประเทศไทย ในการบริหาร คือต้องมีกรรมการมากมายหลายชุด แต่ละชุดมีอนุกรรมการอีกอย่างน้อยสี่กลุ่มห้ากลุ่ม และมีคณะทำงานติดตามผลและประเมินผล

และนี่คงนับแต่เฉพาะหน่วยงานเดียว ในเรื่องที่ต้องมีการบูรณาการ (คำศัพท์ท็อปฮิต) ที่ต้องมีการทำงานร่วมกัน แต่ละหน่วยจะมีกรรมการอีกรวมแล้วในเรื่องหนึ่งมีหลายชุดหลายคณะมากมายเต็มไปหมด

อาจจะหลับตานึกถึงภาพได้ว่า งานทั้งหลายมีความซ้ำซ้อน และยุ่งยากในการรวบรวม นำมาวิเคราะห์เพื่อออกเป็นข้อที่ควรจะทำมโหฬารขนาดไหน

เวลาที่เราดูคนไข้กัน มีคนไข้ตรงหน้า ที่ต้องมีการปฏิบัติ หรือเลยโนทอล์กมาก แอกชัน ไม่ใช่โนแอ็กชัน ทอล์กโอนลี่ (no action talk only)

ทั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเวลาที่จะมาบรรยายเลกเชอร์ หรือถกปัญหากันยืดยาวน้ำท่วมทุ่ง เพราะไม่ได้ดูคนไข้รายเดียว แต่เป็นสิบ

ดังนั้นจึงมีหลักประจำใจคือ ต้องสั้น กระชับแม่นยำ ตรงเป้าและสามารถลำดับความสำคัญได้ หรือดัดจริตเรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า Concise precise prioritize

LINE ALBUM cell virusโควิดใน ม ๒๑๐๙๒๘ 0

Concise ต้องสามารถย่อความ ประวัติความเจ็บป่วยที่เป็นมาเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือน การดำเนินของโรค สถานะความรุนแรง ณ ปัจจุบันและแนวโน้มที่จะเกิดอันตรายต่อชีวิตมากขึ้นโดยเป็นในระยะเวลาวิกฤติช่วงใดบ้าง เหมือนกับถ้าไม่สามารถแยกประเด็นหัวข้อได้ชัดเจนว่ามีกี่ข้อก็จะพรรณนาซ้ำซากในข้อเดิม

ยกตัวอย่างเช่น ทำข้อสอบอัตนัย ซึ่งตอบคำถามเดียว แต่ต้องสามารถแยกประเด็นที่ตอบสนองต่อคำถามนั้นได้หมด ถ้าตอบได้หมดจดหนึ่งในสี่ประเด็น ก็คงได้คะแนนไป 25 ในร้อย

ในเรื่องของความแม่นยำ precise ต้องมีความรู้ หรือรู้ว่าถ้าจะหาคำตอบ จะมีปัญหาอะไรที่ต้องถามและค้นหา และจะหาที่ไหน หาอย่างไร และต้องชัดเจนโดยวางอยู่บนรากฐานที่ดีที่สุดและที่มากที่สุด โดยรวบรวมเนื้อหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หรือที่เราเรียกว่า totality of evidence

ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากการสังเกต จากการศึกษาวิจัยในหลอดทดลอง ในสัตว์ทดลอง หรือในมนุษย์ แม้จะเป็นจำนวนไม่มากนัก แต่ได้ผลคล้ายกัน หรือเหมือนกันเมื่อทำซ้ำ ทั้งนี้ โดยที่วิธีการนั้น ๆ คุ้มค่าและก่อให้เกิดผลแทรกซ้อนหรือความเสียหายน้อยที่สุด

และยิ่งถ้าเป็นข้อมูลที่สามารถอธิบายกลไกในขั้นลึก เป็นขั้นเป็นตอน และมีการศึกษาถึงความเป็นเหตุเป็นผลนั้นได้ จะเป็นข้อมูลที่หนักแน่นยิ่งขึ้น (mechanistic studies) โดยที่ไม่ได้ยึดโยงกับบทวิเคราะห์ทางสถิติ หรือการพิเคราะห์อภิธานอย่างเดียว โดยไม่รู้ที่ไปที่มา

ยกตัวอย่างเช่น ถ้ารู้ว่าโรคนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร มีปัจจัยอะไรที่ผลักดันให้โรครุนแรงขึ้น และเมื่อมีกระบวนการรักษาหรือมียาชนิดใดก็ตาม และมีคุณสมบัติในการขัดขวางโรคนั้น ๆ จะทำให้มีความมั่นใจและสามารถอธิบายกับตัวเอง และกับคนไข้ที่อยู่ตรงหน้าได้ ว่าทำไมถึงตัดสินใจเลือกการรักษานั้น ๆ และเป็นการรักษา หรือเพียงบรรเทา

ไม่ใช่อ้างแต่ข้อแนะนำในการรักษาตามตำรา เหมือนกับมี “หลังพิงฝา” ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องสนใจเพราะทำตามตำราแล้ว ทั้ง ๆ ที่อาจจะขัดกับสภาพที่เห็น ว่าไม่ควรทำเช่นนั้นในสถานการณ์ที่เป็น หรือทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าไม่ควรทำ แต่ตำราว่าไว้เช่นนั้นก็สบายใจ

สิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นมากที่ต้องคำนึงคิดวิเคราะห์ตลอดเวลาว่า สิ่งที่ทำอยู่ปัจจุบันดีที่สุดแล้วหรือไม่ เพราะถ้าดีผลที่ออกมาควรจะต้องดีตลอดไม่ใช่หรือ?

ประเด็นถัดมาคือ เรื่องการลำดับความสำคัญ (prioritize) สิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันมีมากมายมหาศาล เช่น ในการวางแผนดูคนไข้การที่จะสั่งตรวจไม่ว่าจะเป็นการตรวจเลือด การตรวจคอมพิวเตอร์เอกซเรย์หรือการตรวจหารายละเอียดขั้นสูง

LINE ALBUM cell virusโควิดใน ม ๒๑๐๙๒๘ 1

มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตอบให้ได้ว่า สิ่งที่กำลังจะทำนั้นช่วยอะไรกับคนป่วย หรือถ้าทำไปแล้วจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบของการรักษาหรือไม่ (therapeutic benefit) หรือทำไปเพราะความอยากรู้ แต่คนไข้ต้องจ่ายเงิน หรือเป็นภาระของงบประมาณประเทศ

และประการสำคัญก็คือ อะไรที่ควรต้องทำก่อน เพื่อช่วยชีวิตคนป่วยที่เห็นตรงหน้า หรือเปรียบเสมือนว่า ถ้ามีคนป่วยรออยู่หรือนอนอยู่ 20 คน การจัดลำดับความสำคัญคือ ความรีบด่วนที่ต้องได้รับการรักษา อาจไม่ใช่ว่าใครมาเป็นคนแรก หรือคนที่สอง แต่ต้องดูสิ่งที่เราชอบพูดกันว่า ดู “โหงวเฮ้ง” อาการขณะนั้น อยู่ในสภาวะรีบด่วนต้องได้รับการปฏิบัติโดยด่วน และแม้แต่คนไข้เป็นโรคเดียวกันแต่ความรีบด่วนในแต่ละรายจะไม่เหมือนกัน เป็นต้น

และอาจจะต่อด้วยอีกประการคือ การนำไปใช้ได้อย่างทันท่วงที (utilize) หลังจากที่รู้ว่าอะไรต้องทำอย่างรวดเร็ว รู้ว่าขาดแคลนอะไร โดยไม่มีทางหาอะไรมาทดแทนได้ในปัจจุบันทันด่วนในเวลานั้น เป็นเวลาที่ต้องหยิบจับฉวยสิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถนำมาให้ได้ แม้จะยังไม่ปรากฏเป็นตำราก็ตาม แต่ใช้หลักฐานควบรวมเชิงประจักษ์ในทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปแล้ว

ในสถานการณ์ล่มสลายของโควิด ไม่ใช่เป็นเวลาที่ต้องประดิดประดอย ฟังข้อมูลวารสารที่ไหลออกมาเป็น 10,000 ชิ้นที่คล้อยตามหรือขัดแย้งกันระเบิดเถิดเทิง หรือจะรอให้มีการสรุปจากองค์กรระดับนานาชาติหรือระดับโลกซึ่งก็มีการกลับลำ 180 องศาอยู่บ่อยเอาง่าย ๆ ตั้งแต่ใส่หน้ากากไม่มีประโยชน์ เป็นต้น

ประเทศไทยเราเองมีความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องทรัพยากร สมุนไพร พืช ผัก ผลไม้ ธัญญาหารพร้อมมูล แม้กระทั่งมีความรู้จารึกในประวัติศาสตร์ที่ผ่านการวิเคราะห์ทำซ้ำ ลองผิดลองถูกจนกระทั่งสามารถจารึกเป็นข้อแนะนำ หรือแทบจะกลายเป็นคัมภีร์

สิ่งเหล่านี้คือการวิจัย ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ระดับโมเลกุล หรือกลไกทางวิทยาศาสตร์อย่างในปัจจุบัน แต่ผลที่ได้เป็นที่ประจักษ์และใช้กันมาเป็น 10 เป็น 100 ปี

คงพอจะนึกออกว่ามีการต่อต้านหรือสนับ-สนุน เช่น การใช้ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว กัญชากันชง จนแทบจะฆ่ากันตาย จะให้มีการวิจัยตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติก่อน ค่อยนำมาใช้ แม้ว่าจะรู้สรรพคุณหลายอย่าง และสามารถตอบได้ว่าจะใช้ขนาดปริมาณเท่าใด นานเท่าใด และสามารถจะใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันชนิดใดได้หรือไม่

ทั้งนี้ ดูต่างจากประเทศจีน หรือแม้แต่ญี่ปุ่นก็ตาม ที่มีการขวนขวายหาตัวยาสมุนไพรที่ชาวบ้าน รือในชุมชนมีการใช้และทำให้สุขภาพดี อายุยืนไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ และนำมาควบรวมกับแผนปัจจุบัน หรือนำมาต่อยอดอธิบายสารออกฤทธิ์ในนั้นว่า เป็นสารเดี่ยวหรือสารผสมแบบใด เป็นต้น

หรืออย่างเช่นกัญชา เราก็ทราบกันแล้วว่า ตัวสำคัญนั้นไม่ใช่แต่ตัวที่ทำให้เกิดเมาอย่างเดียว แต่ยังต้องควบรวมกับสารฟลาโวนอยด์ และสารอื่น ๆ ด้วยจึงจะเปล่งประสิทธิภาพได้เต็มที่

เขียนมายืดยาวจนกระทั่งถึงบรรทัดนี้ คำว่า นิวฟิวเจอร์ คือการปรับกระบวนการคิด การเรียนรู้วิเคราะห์ และการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ใช้งบประมาณน้อย ได้ผลมากที่สุด (minimize budget maximize benefit) โดยใช้สิ่งที่ธรรมชาติให้มาในสมองให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ไม่เช่นนั้นจะใช้ประโยชน์ได้จำกัดมาก อยู่ที่ก้านสมองหรือไขสันหลังแต่เพียงอย่างเดียว และไร้ค่าที่จะแก้ไขวิกฤติอย่างร้ายแรงที่เกิดขึ้นทั้งในขณะนี้ และที่จะเกิดตามมาในอนาคต”

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo