“หมอเฉลิมชัย” ยกเคสสหรัฐ ไวรัสสายพันธุ์เดลตา ทำให้เด็กอเมริกันติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากถึง 5 เท่าตัว แพร่ในอากาศไกลกว่า 2 เมตร ทำให้สหรัฐอนุญาตให้เด็กตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป ฉีดวัคซีนไฟเซอร์
นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chalermchai Boonyaleepun กรณีสหรัฐ พบเด็กอเมริกันติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากถึง 5 เท่าตัว จากสายพันธุ์เดลตา แพร่ระบาด สามารถแพร่ผ่านละอองฝอยทางอากาศ (Aerosal) ได้ไกลกว่า 2 เมตร ส่งผลให้เริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 16 ปีขึ้นไป โดยระบุว่า
“ไวรัสสายพันธุ์เดลตา ทำให้เด็กอเมริกันติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากถึง 5 เท่าตัว แต่อาการป่วยรุนแรงไม่ได้เพิ่มขึ้น
CDC ของสหรัฐฯ รายงานข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นสิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่มีไวรัสเดลต้าเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐอเมริกาแล้วนั้น
จากการรายงานสถิติของ 14 มลรัฐ พบว่ามีเด็กและเยาวชนที่อายุน้อยกว่า 18 ปี ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้นถึง 5 เท่าตัว แต่จำนวนเด็กป่วยหนักและเสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้น
พอจะบอกเป็นนัยได้ว่า ไวรัสสายพันธุ์เดลต้า มีความสามารถในการแพร่ระบาดได้กว้างขวางและรวดเร็ว
โดยมีข้อมูลทยอยออกมาว่า ไวรัสสามารถแพร่ผ่านละอองฝอยทางอากาศ (Aerosal) ได้ไกลกว่า 2 เมตรโดยเฉพาะในห้องหรืออาคารที่การระบายอากาศไม่ดี
แตกต่างจากไวรัสสายพันธุ์เดิม ที่แม้จะอยู่ในห้องเดียวกัน แต่ถ้าอยู่ห่างกว่า 2 เมตร ก็มักจะไม่ติดเชื้อ
รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อเด็กรายสัปดาห์พบว่า ปลายเดือนกรกฎาคมมี 38,000 เคสต่อสัปดาห์ พอกลางเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นเป็น 180,000 เคสต่อสัปดาห์ มากขึ้น 4.73 เท่าตัว
ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจอีกได้แก่ ในมลรัฐที่มีการฉีดวัคซีนน้อย จะมีอัตราของเด็กติดเชื้อที่มาโรงพยาบาล หรือมาห้องฉุกเฉินสูง
นอกจากนั้นยังพบว่า วัยรุ่นที่อายุฉีดวัคซีนได้คือ 12-17 ปี แล้วไม่ฉีดวัคซีนจะมีอัตราการติดเชื้อเข้าโรงพยาบาล มากกว่าวัยรุ่นกลุ่มที่ฉีดวัคซีนแล้วถึง 10 เท่าตัว
แสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนว่า สามารถลดการติดเชื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ
แม้จะเป็นไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ที่ทำให้มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกกลุ่ม แต่กลุ่มที่ไม่ฉีดวัคซีน ก็จะติดมากกว่ากลุ่มที่ฉีดวัคซีนแล้ว
สหรัฐพบเด็กติดเชื้อ 4.8 ล้านเคส จากจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด 32.4 ล้านเคส คิดเป็น 14.8% แต่ในปลายเดือนสิงหาคม สัดส่วนของเด็กติดเชื้อได้เพิ่มขึ้นเป็น 22.4%
ส่วนการตรวจหาไวรัสในเด็ก คิดเป็นสัด 10.9-20.8% และให้ผลบวก 4.8-17.6%
มีเด็กต้องนอนโรงพยาบาล 1.6-3.6% ของผู้นอนโรงพยาบาลทั้งหมด คิดเป็น 0.1-1.9% ของจำนวนเคสเด็กติดเชื้อทั้งหมด
ส่วนการเสียชีวิต พบเด็กเสียชีวิตในแต่ละรัฐระหว่าง 0-0.24% แต่ถ้าคิดต่อฐานของเด็กติดเชื้อแล้ว จะมีการเสียชีวิตเพียง 0.03%
ขณะนี้ทางการสหรัฐฯได้อนุญาตให้วัคซีนของ Pfizer ฉีดในเด็กตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไปในแบบปกติ และฉีดในสถานการณ์การฉุกเฉิน
สำหรับเด็กอายุ 12-15 ปี ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีลงมา ยังไม่มีงานวิจัยสนับสนุนให้ฉีดวัคซีนได้
กรณีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา และมีความพยายามให้มีการฉีดวัคซีนในเด็กนั้น
มีความแตกต่างกันอย่างมาก จนอาจกล่าวได้ว่าตรงกันข้ามกันเลยทีเดียว กับประเทศอังกฤษ ซึ่งยังไม่สามารถจะตกลงกันได้ จึงยังไม่มีการประกาศให้ฉีดวัคซีนโควิดในเด็กอายุ 12-15 ปีแต่อย่างใด
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เจอแล้ว!! สาเหตุโมเดอร์นาปนเปื้อนที่ญี่ปุ่น สั่นคลอนความเชื่อมั่นคนไทย จองฉีดไตรมาส 4 ปีนี้
- ด่วน!! ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ‘มิว’ WHO จัดเป็นไวรัสที่ต้องจับตามอง แนวโน้มดื้อวัคซีน
- นิวซีแลนด์ เสียชีวิตรายแรก หลังฉีดไฟเซอร์ ‘หมอเฉลิมชัย’ แนะเลือกฉีดแบบไหนเสี่ยงน้อยที่สุด