จับตา!! “นายกรัฐมนตรี” สั่งประเมินสถานการณ์โควิด 2 สัปดาห์ จะเอาอย่างไรกันต่อ ลั่นถือว่าเป็นจุดสำคัญที่ต้องประเมินให้ได้ พร้อมคาดโทษปมวัคซีน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (17 ส.ค.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเร้นซ์ จากห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยในช่วงท้ายการประชุม ครม.นายกรัฐมนตรีได้กำชับรัฐมนตรีว่า การทำงานของรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงจะต้องคิดในเชิงรุก
แผนจัดหาวัคซีนในปี 2565
ส่วนแผนการจัดหาวัคซีนในปี 2565 ได้สั่งการในที่ประชุม ศบค. ไปแล้วให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาดำเนินการจัดหาวัคซีนในปี 2565 ตั้งแต่ตอนนี้ให้เรียบร้อย ซึ่งจะต้องมีการวางแผนล่วงหน้า โดยเฉพาะเรื่องการเจรจาจัดซื้อวัคซีน จะต้องคำนึงถึงวัคซีนเข็มที่ 1 เข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 ให้มีความชัดเจนจะได้ไม่เกิดความสับสนอลหม่าน แต่ยอมรับว่าการจัดหาวัคซีนในช่วงต้นเป็นเรื่องยาก เพราะขึ้นอยู่กับผู้ผลิต แต่วันนี้ถือว่าเราทำหน้าที่ได้ดีพอสมควร แต่ปีหน้าจะต้องทำให้ดี
ส่วนเรื่องวัคซีนแอสตราเซเนกา ที่เห็นชอบลงนามแลกเปลี่ยนกับภูฏานนั้น เป็นห่วงเรื่องบริหารจัดการ เนื่องจากวัคซีนดังกล่าวจะหมดอายุสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ จึงขอให้กระทรวงสาธารณสุขบริหารจัดการให้เรียบร้อย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าสามารถบริหารจัดการฉีดวัคซีนก่อนหมดอายุได้แน่นอน
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันในที่ประชุมศบค.เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา ว่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้คนไทยได้ในสิ้นปี 2564 ได้ 70-80% ที่สำคัญจะต้องกำชับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในเรื่องของการฉีดวัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุขส่งไป เพราะการฉีดวัคซีนเป็นเรื่องของพื้นที่ที่จะต้องดำเนินการ อย่าให้มีปัญหาเกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะเรื่องรายชื่อฉีดวัคซีนซ้ำซ้อน ตามที่ทุกท่านทราบในตอนนี้
ต้องมีการลงโทษ
“ตรงนี้จะต้องมีการลงโทษ ปลดออกหรือให้ลาออก ซึ่งตนไม่อยากให้เกิดขึ้น ดังนั้นขอให้เตือนเจ้าหน้าที่ในระดับล่างให้ดี ตนคงไปกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ระดับล่างไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อพื้นที่เป็นคนดำเนินการเรื่องวัคซีนหากเกิดการรั่วไหล ในพื้นที่ก็จะต้องถูกลงโทษ” นายกรัฐมนตรี ระบุ
ส่วนมาตรการดูแลสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศว่า เราต้องหาเหตุผลว่าในต่างประเทศทำไมเขาดีขึ้น โดยต้องไปดูว่าถ้าเราผ่อนคลาย กิจกรรมบางอย่างจะสามารถทำได้หรือไม่ ถ้าจะคิดแข็งแบบนี้ไปทั้งหมดและเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ฉะนั้นจะต้องหาช่องทางให้สามารถดำเนินกิจการได้ เพราะเมื่อมีผลกระทบเกิดขึ้น แรงกดดันก็จะต้องมาที่รัฐบาลสูง ส่วนเรื่องมาตรการเยียวยายอมรับว่า ไม่สามารถที่จะเยียวยาให้ทุกคนพอใจได้ ที่ผ่านมาให้ไปเดือนละ 3,000 บาท หรือ 5,000 บาท ประชาชนคงอยู่ไม่ได้ ก็แค่ประทังชีวิตเท่านั้น
ดังนั้น จึงขอให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ร่วมกันพิจารณา และรับฟังความคิดเห็นของแพทย์ในฐานะผู้เสนอมาตรการต่าง ๆ เพราะที่ผ่านมามีการต่อรองกัน แต่ก็ต้องเข้าใจว่าทางแพทย์ก็ต้องประเมินสถานการณ์
“2 สัปดาห์จากนี้ไป ผมถือว่าเป็นจุดสำคัญ จะต้องประเมินให้ได้ว่าจะเป็นอย่างไร และจะเอาอย่างไรกันต่อ ไม่ใช่ปิดไปเรื่อย ๆ มันก็จะยิ่งถอยไปเรื่อย ๆ อาจจะพิจารณามาตรการ เฉพาะสำหรับบุคคลที่ฉีดวัคซีน 2 เข็มแล้วหรือไม่ ว่ามีกิจกรรมใดที่สามารถทำได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวเรื่องการขาดแคลนแรงงาน ขอให้เร่งรัดดำเนินการ โดยเฉพาะในภาคการเกษตร โรงงานอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันแรงงานต่างด้าวเราก็จำกัด นอกจากนี้ ขอให้ไปพิจารณา เรื่องการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นในเดือน ตุลาคม-ธันวาคม จะสามารถเปิดการท่องเที่ยวในจังหวัดไหนได้บ้าง ซึ่งเบื้องต้นได้พูดคุยกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แล้ว แต่ต้องควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ ซึ่งทุกคนต้องช่วยกัน หากควบคุมได้พื้นที่สีเขียวก็จะเพิ่มมากขึ้น
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘บิ๊กตู่’ ห่วงความปลอดภัย ขอหลีกเลี่ยงการชุมนุม-สั่งเตรียมพร้อมซักฟอก!
- ‘บิ๊กตู่’ ถก ‘ศบค.’ ประเมินตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ยังพุ่งต่อเนื่อง
- ‘นายกรัฐมนตรี’ กำชับหน่วยฉีดวัคซีนเข้มงวดมาตรการเว้นระยะห่าง