COVID-19

‘บิ๊กตู่’ ยินดียอดหายป่วยโควิดเริ่มมากกว่ายอดผู้ติดเชื้อ แต่ยังวางใจไม่ได้!!

“นายกรัฐมนตรี” เปิดหน่วยคัดกรองผู้ป่วยโควิด และโรงพยาบาลสนามครบวงจร กลุ่ม ปตท. ในโครงการ “ลมหายใจเดียวกัน” ยินดียอดหายป่วยเริ่มมากกว่าผู้ติดเชื้อ แต่ยังวางใจไม่ได้!!

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดจุดคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 และโรงพยาบาลสนามครบวงจร (End-to-End) ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ภายใต้โครงการ “ลมหายใจเดียวกัน” ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เชื่อมสัญญาณจากตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ไปยังพื้นที่จัดงานบริษัทกลุ่ม ปตท. โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมผู้บริหารบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายกรัฐมนตรี

โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่มาเป็นประธานในพิธีเปิดจุดคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 และโรงพยาบาลสนามครบวงจรของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกัน ที่ได้มีการประสานงานความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและพันธมิตรทางการแพทย์ ซึ่งรัฐบาลได้เร่งดำเนินการทุกมาตรการเพื่อรับมือกับแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย โดยมีการทำงานและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ทั้งเรื่องการตรวจเชิงรุกให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง คัดกรองเชิงรุกหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชนให้รวดเร็วและทั่วถึงมากยิ่งขึ้นการเร่งฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ การเปิดช่องทางการเข้าถึงการรักษา การกำหนดแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน และการดูแลผู้ป่วยในชุมชน รวมทั้งการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามต่างๆ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งมีการพัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลสนามให้สามารถรองรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงให้มากขึ้น

ที่ผ่านมา ต้องขอขอบคุณในความร่วมมือของภาคเอกชนที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตนขอขอบคุณและชื่นชมบริษัทในกลุ่ม ปตท.ที่ได้สนับสนุนงบประมาณ รวมถึงนำความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมในการคิดค้นอุปกรณ์และวัสดุเพื่อช่วยเหลือการทำงานของบุคคลากรทางการแพทย์ และสามารถนำมาใช้เพื่อช่วยเหลือสังคมด้านต่างๆร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และพันธมิตรทางการแพทย์ในการจัดตั้งโครงการลมหายใจเดียวกันเพื่อช่วยเหลือประชาชน และเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลรักษาผู้ป่วยให้มีช่องทางการเข้ารับการรักษามากยิ่งขึ้น

นายกรัฐมนตรี

“วันนี้เราได้พยายามจะทำวิกฤติเหล่านั้นให้เป็นโอกาสของเรา เพราะเราให้ความสำคัญทั้งสองด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเรื่องความปลอดภัยของประชาชน เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสุขภาพ 3 อย่างต้องเดินไปด้วยกัน เรามีลมหายใจเดียวกันเพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

เพราะฉะนั้นช่วงเวลาวิกฤตนี้เราจะได้เห็นถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งจากภาครัฐ เจ้าหน้าที่ ภาคเอกชน ธุรกิจต่าง ๆ เข้ามาระดมสรรพกำลังในการช่วยรัฐบาล ซึ่งต้องกราบเรียนให้ทราบว่ารัฐบาลได้มีการทำงานในเรื่องนี้เป็นแผนงานมาโดยตลอด มีทั้งแผนงานหลัก แผนงานรอง และแผนเผชิญเหตุตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตามช่วงเวลาที่ผ่านมา ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ เริ่มต้นตั้งแต่การใช้ระบบสาธารณสุขปกติ เมื่อสถานการณ์มีการแพร่ระบาดมากยิ่งขึ้นก็ได้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.เพื่อบูรณาการและใช้ทรัพยากร บุคคลากร ที่เรามีอยู่ ทั้งตำรวจ พลเรือน ทหาร ช่วยกันดูแล

ในส่วนของการรักษาพยาบาลวันนี้ อยากเรียนว่าระยะแรก ๆ เราไม่ค่อยมีปัญหามากนัก แต่ระยะต่อไปเนื่องจากการแพร่ระบาดมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น รัฐบาลจำเป็นต้องมีการปรับแผนในเรื่องของการดูแลประชาชนให้ทันต่อสถานการณ์ ไม่ว่าจะเรื่องการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ระยะแรกเป็นโรงพยาบาลสนามสีเขียว เพื่อแบ่งเบาภาระในการรักษาพยาบาลโรงพยาบาลหลัก ซึ่งมีปัญหาในเรื่องเตียง วันนี้รัฐบาลปรับตามสถานการณ์ได้มีการพัฒนาโรงพยาบาลสีเขียวให้เป็นโรงพยาบาลสีเหลือง จากนั้นไปสู่โรงพยาบาลสีแดงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถมากยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญที่เราเห็นวันนี้ประกอบไปกับเรื่องการฉีดวัคซีน ซึ่งทยอยดำเนินการไปตามจำนวนวัคซีนที่เราได้รับมา

นายกรัฐมนตรี

ขณะเดียวกัน สิ่งที่น่ายินดี คือยอดผู้รักษาหายใกล้เคียงหรือมากกว่าผู้ติดเชื้อในบางวันซึ่งแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพในการทำงานของเราเริ่มจะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่เป็นที่ไว้วางใจฉะนั้นการทำโรงพยาบาลสนามครบวงจรแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเกี่ยวข้องหลายอย่างด้วยกันทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทาง แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือ ร่วมใจ ความเสียสละของบุคคลากรทุกคนที่ร่วมมือในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามครบวงจรในวันนี้ และหวังอย่างยิ่งจะเป็นแบบอย่างให้ในพื้นที่อื่น ๆ ด้วย ในอนาคตอันใกล้นี้ก็คงจะต้องไปนำสู่หลาย ๆ พื้นที่ด้วยกันถ้าเป็นไปได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือภาคเอกชนและภาคธุรกิจอื่นๆ ซึ่งพร้อมที่จะช่วยเหลือรัฐบาลและประชาชน ก็น่าจะเอาแบบอย่างตรงนี้ช่วยกันไปพัฒนาในพื้นที่อื่นๆ อีกต่อไป

“คิดว่าน้ำใจเรามีให้กันเสมอมา เราน่าจะสามารถทำได้ เพราะเรามีลมหายใจเดียวกัน คือการช่วยเหลือประชาชน และการเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาผู้ป่วยให้มีช่องทางการเข้ารักษาพยาบาลให้มากยิ่งขึ้น ขอขอบคุณอีกครั้งในน้ำใจและไมตรีที่ท่านมีให้กับรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ทำในวันนี้จะเป็นบุญกุศลให้แก่ท่านในอนาคต กับครอบครัวกับการงาน กับสุขภาพที่ดีของท่านทุกทน รวมความไปถึงประชาชนทั่วไปที่ได้รับประโยชน์จากการดูแลในลักษณะเช่นนี้ต่อไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาการดำเนินการของเราในเรื่องนี้คงไม่มีวันสิ้นสุดตราบใดที่โควิดยังไม่หมดจากโลกใบนี้ หรือจากประเทศไทย เราจะอยู่กับเขาได้อย่างไรในอนาคตอันใกล้และอันไกล คือหลังจากโรคโควิดได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ก็คาดการณ์แล้วยังคงใช้เวลานานอีกพอสมควร ทุกประเทศมีความเดือดร้อนเหมือนกัน เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามการรวมพลังของเราเช่นนี้ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม คิดว่าจะทำให้ประเทศไทยนั้นอยู่รอด ประเทศไทยก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมีศักดิ์ศรี และเป็นการพัฒนาประเทศไทยไปสู่ในโลกยุคนิวนอร์มอลซึ่งจะต้องมีการเติบโตในทุกสาขา ในทุกอาชีพ ทุกกลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มประชาชน การพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงให้เร็วที่สุด ถึงแม้จะมีสถานการณ์โควิดเข้ามาก็ตาม เราก็คงต้องดำเนินการในระหว่างนี้ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการเดินหน้าประเทศไทยไปสู่ประเทศไทยยุคใหม่ต่อไป

นายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ บริษัท ปตท. และบริษัทในกลุ่ม จัดตั้งหน่วยคัดกรองและโรงพยาบาลสนามครบวงจรแห่งแรก ที่เอกชนร่วมกับภาครัฐ ภายใต้ชื่อโครงการลมหายใจเดียวกัน ประกอบด้วย 4 จุดหลักได้แก่

จุดที่ 1 หน่วยคัดกรอง โครงการลมหายใจเดียวกัน ณ อาคาร Energy Terminal หรือ Enter ของบริษัท Energy Complex กลุ่ม ปตท. ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร เป็นจุดคัดกรองสำหรับกลุ่มเสี่ยง โดยใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit และหากพบว่ามีการเสี่ยงติดเชื้อ จะนำส่งตรวจ RT-PCR ต่อไป

ขณะที่ จุดที่ 2, 3 และ 4 เป็นโรงพยาบาลสนามครบวงจร เพื่อรองรับการรักษาตามระดับความรุนแรง ได้แก่ โรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ป่วยระดับ สีเขียว ในรูปแบบของ Hospitel จำนวน1,000 เตียง กระจายไปในหลายโรงแรม

โรงพยาบาลสนาม สำหรับผู้ป่วยระดับ สีเหลือง ที่มีอาการในระดับหนักขึ้น เปิดให้บริการ ณโรงแรมเดอะบาซาร์ กรุงเทพ มีเตียงผู้ป่วยจำนวน 300 เตียง มีระบบไฮโดรเจน ท่อสายตรง Direct Tube ส่งตรงถึงทุกเตียงผู้ป่วย และโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ป่วยระดับ สีแดง จัดสร้างโรงพยาบาลสนาม ICU บนพื้นที่ 4 ไร่ สำหรับผู้ป่วยจำนวน 120 เตียง บริเวณพื้นที่โล่งของโรงพยาบาลปิยะเวท จัดทำห้องรักษาความดันลบแยกรายผู้ป่วย มีการติดตั้งถังออกซิเจนเหลวขนาด 10,000 ลิตรพร้อมห้องฉุกเฉินพร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo