COVID-19

ด่วน! สธ. ชง ศบค. ล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยง ปิดสถานที่เสี่ยง 14 วัน จัดระบบรักษาที่บ้าน-ชุมชน

ตัวเลขโควิดรายวันทะลุ 7,000 ราย สธ.ประชุมด่วน ชง ศบค. ล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยง และกันชน 14 วัน อนุมัติ รพ.ตรวจ Rapid Antigen test ควบคู่การตรวจ RT-PCR ใช้ระบบดูแลที่บ้าน-ในชุมชน

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงมาตรการควบคุมสถานการณ์การระบาดโควิด ว่า เมื่อช่วงเช้าได้มีการประชุมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข หรือ อีโอซี ซึ่งมีอาจารย์แพทย์ ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากในการร่วมกันพิจารณา ซึ่งวันนี้พบตัวเลขติดเชื้อสูงกว่า 7,000 ราย สะสมกว่า 2.8 แสนราย

ล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยง

ทั้งนี้ การแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มีการระบาดในกทม.และปริมณฑล และเริ่มแพร่ระบาดไปยังต่างจังหวัด อีกทั้งยังมีประชาชนมาเรียกร้องขอตรวจเชื้อจำนวนมาก ทำให้ต้องรอนาน ประกอบกับเมื่อพบเชื้อก็มีการเข้ารักษามาก ทั้งกลุ่มผู้ป่วยสีแดง สีเหลือง หรือสีเขียว ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ อยู่ในภาวะเหนื่อยล้า

ล่าสุด สธ.ได้พิจารณาหามาตรการควบคุมโรคให้มากยิ่งขึ้น โดยออก 5 มาตรการ ประกอบด้วย

1. การใช้ Rapid Antigen test จากเดิมการตรวจเชื้อโควิด จะใช้วิธี RT-PCR ซึ่งเป็นการตรวจในห้องปฏิบัติการ และใช้เวลาในการรอผลตรวจนาน ยิ่งคนมาตรวจมาก การรออาจต้องข้ามวัน จึงมีการตกลงกันว่า จะใช้ Rapid Antigen test สนับสนุนการตรวจ ซึ่งรอผลได้เลย ใช้เวลาไม่นาน แต่ให้ใช้เฉพาะสถานพยาบาล ที่มีการขึ้นทะเบียนไว้เท่านั้น

ทั้งนี้ จะเป็นการตรวจแอนติเจนเทส หลัก ๆ ใช้บุคลากรทางการแพทย์ช่วย หรือผู้ป่วยสามารถดำเนินการเอง แต่ต้องทำในโรงพยาบาล หากสถานพยาบาลไหนพร้อมดำเนินการได้ทันที เพื่อลดจำนวนการรอการตรวจ เมื่อพบผลเป็นลบก็สามารถกลับบ้านได้ แต่หากผลเป็นบวก ต้องมีการตรวจซ้ำด้วยวิธี RT-PCR เพื่อความแม่นยำ เพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาต่อไป

2. มาตรการการจัดระบบรักษา โดยการตรวจเหล่านี้ ต้องควบคู่กับการจัดระบบรักษาที่บ้าน เฉพาะกลุ่มสีเขียว ที่เรียกว่า Home isolation และ Community isolation ซึ่งจัดระบบรองรับเข้าไปดูแล โดยคนไข้ในระบบนี้ต้องเป็นสีเขียวเท่านั้น

ในการดำเนินงาน จะร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดูแลเป็นครอบครัว โดยจะลดเกณฑ์การดูแลคนเดียวลง ให้ดูแลเป็นครอบครัวได้ ซึ่ง สปสช. จะสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาลวันที่ 10 หรือสั้นกว่านั้น ให้สามารถกลับไป Home isolation ได้ เพื่อลดปริมาณการครองเตียง เป็นต้น

สธ. 1

3. เน้นมาตรการบุคคลต่าง ๆ อย่างเข้มงวด ต้องเน้นสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ โดยที่ทำงานก็ต้องระวัง อย่ารับประทานอาหารร่วมกัน ที่บ้านก็เช่นกัน ขอให้ต่างคนต่างรับประทานอาหาร และขอให้ Work From Home มากขึ้น

4. มาตรการฉีดวัคซีนโควิด โดยต้องเร่งฉีดพื้นที่เสี่ยง และเน้นฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง โดยมีการวางนโยบายให้ใช้วัคซีน 80% ฉีด 2 กลุ่มนี้ก่อน เพื่อลดอัตราการป่วยและเสียชีวิต โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งสัปดาห์หน้าต้องฉีดให้ได้มากกว่า 1 ล้านโดสขึ้นไป

“ขณะนี้กรุงเทพฯฉีดไปแล้ว 4 ล้านโดส ดังนั้น เร่งฉีด 1-2 สัปดาห์จะได้ขึ้นไปอีกมากกว่า 50% โดยต้องระดมทุกภาคส่วน ซึ่งสธ.จะหาคนไปช่วยกทม. ในการฉีด โดยหากสามารถฉีดได้ 1 ล้าน ช่วงสิ้นเดือนก็จะได้ถึง 60%”นพ.เกียรติภูมิ กล่าว

ล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยง พื้นที่กันชน 14 วัน

5. สธ.จะเสนอ ศปก.ศบค. เรื่องการจำกัดการเดินทาง ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด และให้ปิดสถานที่มีความเสี่ยงทั้งหมด อย่างสถานที่รวมกลุ่มคนไม่จำเป็น แต่ตลาด ซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นสถานที่จำเป็นยังเปิดได้ โดยมาตรการนี้จะใช้ในพื้นที่เสี่ยง และพื้นที่กันชน เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน ซึ่งเสนอศบค.ชุดเล็กแล้ว และจะเสนอศบค.ชุดใหญ่ต่อไป เพื่อลดการระบาดของโควิดในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล เพื่อให้ระบบสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีการจำกัดการเดินทางเรียกว่า ล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยง ได้หรือไม่ นพ.เกียรติภูเมิ กล่าวว่า เราเสนอจำกัดการพื้นที่เสี่ยง และกันชน ส่วนจะเรียกว่าอะไรนั้น เนื้อหาหลักๆ คือ การจำกัดการเดินทางที่ไม่จำเป็น ส่วนรายละเอียดขอให้สอบถาม ศบค.

สำหรับภาพรวมมาตรการนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์ หรือ 14 วันในระยะฟักตัวของโรค ซึ่งมาตรการนี้อย่างน้อยจะเท่ากับ เมษายน 2563 ร่วมกับมาตรการฉีดวัคซีน และความร่วมมือของพี่น้องประชาชน เชื่อว่าจะลดการติดเชื้อลงได้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo