COVID-19

หมอฉายภาพ ‘วิกฤติสาธารณสุข’ วอนช่วยกันหยุดโควิด ก่อนไม่เหลือเตียง – ยา

อาจารย์หมอฉายภาพ “วิกฤติสาธารณสุข” วอนช่วยกันหยุด โควิด ก่อนไม่มีเตียง – ยาเหลือรักษา ล่าสุดสั่งจำกัดใช้ “ฟาวิพิราเวียร์

วานนี้ (22 เม.ย.) นพ.ศุภโชค เกิดลาภ อาจารย์แพทย์สาขาอายุรแพทย์โรคติดเชื้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เล่า วิกฤติสาธารณสุข ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยท่ามกลางวิกฤติ โควิด -19 ผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว Suppachok NeungPeu Kirdlarp

วิกฤติสาธารณสุข โควิด

โพสต์ดังกล่าวสรุปได้ว่า ขณะนี้ระบบสาธารณสุขของประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติโควิด – 19 โดยผู้ป่วยโควิด – 19 ที่รักษาตัวช่วงแรก 50 – 60% มีอาการปอดอักเสบ และ 10 – 20% เป็นผู้ป่วยอาการหนัก เมื่อผู้ป่วยเก่ายังรักษาไม่หาย ผู้ป่วยใหม่ก็เข้ารับการรักษาไม่ได้ กลายเป็นคอขวด

ผู้ป่วยที่อยู่บ้าน รอเข้ารับการรักษา 40 – 50% มีอาการปอดอักเสบและแสดงอาการมากขึ้น เมื่อเข้ารับการรักษา หลายคนจึงมีอาการหนัก ต้องใช้ยามากขึ้นและต้องใช้เตียงผู้ป่วยอาการปานกลาง/หนักมากกว่าเดิม ส่งผลให้เปิดเตียงเพิ่มเท่าไหร่ก็ไม่พอ

ด้านผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยโรคอื่น ๆ บางส่วน ก็พบว่าติดเชื้อโควิด – 19 และการรักษาพยาบาลตามปกติเริ่มได้รับผลกระทบจากการที่ โรงพยาบาล ต้องทุ่มดูแลผู้ป่วยโควิด -19

บุคลากรทางการแพทย์หลายคนก็ติดเชื้อ โควิด – 19 จากผู้ใกล้ชิด ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถปฏิบัติงานได้หรือต้องกักตัว คนทำงานหายไป ขณะเดียวกันก็มีการแจ้งเตือนให้แพทย์ใช้ ยาฟาวิพิราเวียร์ อย่างจำกัดมากขึ้น สร้างความกังวลว่ายาจะเหลือเพียงพอหรือไม่

ทั้งนี้ วงจรวิกฤติโควิด – 19 ทั้งหมดยังดำเนินต่อไป ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงในเร็ว ๆ จึงเรียกร้องให้ทุกคนร่วมกันหยุดยั้งวิกฤติครั้งนี้ ก่อนที่ประเทศไทยจะไม่เหลือเตียงและยาในการรักษา พร้อมหวังว่าผู้ใหญ่ในระดับประเทศจะเห็นว่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นวิกฤติของประเทศแล้ว

133847550 3694572370581401 8424444218703455832 n

“วิกฤติสาธารณสุข” จาก โควิด – 19

สำหรับข้อความทั้งหมดเป็นดังนี้

“อัพเดตสถานการณ์สัปดาห์ที่ 2 เข้า 3

จากนโยบายที่รัฐบาลเลือกที่จะไม่ lock down และยังให้เปิดการไปมาระหว่างจังหวัด ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพราะไม่สามารถจะทำการ lock down ได้อีกแล้ว ด้วยหลาย ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งถ้าทำ lock down อีกเศรษฐกิจก็จะยิ่งไปใหญ่

แต่ไม่ว่าเหตุการณ์นี้จะถูกมองกันว่าอย่างไร แต่สิ่งที่เราพบต่อมาหลังจากนั้น 1 สัปดาห์ เราพบว่า

– ผู้ป่วยที่รับใหม่เริ่มเป็นวง 2 หมดแล้ว เป็นผู้สูงอายุ พ่อ แม่ ปู่ ยา ตายาย มี co-morbid มาก ๆ แถมบางคนเป็นผู้ป่วยติดเตียง ด้วย

– การติดเชื้อ ส่วนใหญ่เป็น contact confirm เคส นั่นก็คือลูก ๆ ที่กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ หรือปู่ย่าตายาย บายคนบอกว่าลูกหลานกลับมาจากเที่ยว หรือกลับมาช่วงเทศกาลสงกรานต์

– แต่ 2 – 3 วันมานี้คือ tracking ไม่ได้แล้วนะว่าไปติดมาจากไหน ใช้แต่อาการแสดงทาง clinical + lab + CXR ถามไม่ได้ความเสี่ยงอะไรเลย เอาจริง ๆ มันก็คือ phase 3 แล้วแหล่ะ แต่รัฐบาลคงเลิกประกาศแล้วมั้ง และคนคงเลิกสนใจแล้วแหล่ะ

– ความพีคคือมีหลาย ๆ ความยากลำบากเช่น

– พ่อแม่บวก ลูกลบ แต่ลูกอายุ 3 เดือน

– ปู่ย่า บวก เป็นผู้ป่วยติดเตียง ลูกเอามาติด นอน ICU แต่ลูกอีกคนที่เป็น caregiver negative และนอนติดเตียง

– ตายายเป็นผู้ป่วยติดเตียง แต่เป็นลบ ลูกผู้ดูแลเป็นบวกและต้อง admit ไม่มีใครดูแลตายาย และไม่มีใครพาตายาไป swab เนื่องจากเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง

– คนไข้ที่นอนตั้งแต่ช่วงแรก 50-60% เป็น pneumonia ทั้ง ๆ ที่ admit ค่อนข้างเร็วแล้ว และ 10-20% อาการหนัก ต้องเข้า intermediate/ICU และบางส่วนต้อง intubation ไปถึงแม้จะพยายามให้ยา Favipiravir/dexamethasone ไปเร็วแค่ไหน แต่ถ้า co-morbid มากยังไงก็เอาไม่อยู่

– คนไข้เก่าขยับไม่ออก คนไข้ใหม่ก็เข้ามาไม่ได้ เกิดปรากฎการคอขวด ขึ้นมาเลยในหลาย ๆ ที่

– คนไข้ที่รออยู่บ้าน ซึ่ง 40-50% จะเกิด pneumonia มีคนไข้บางส่วนที่เริ่มเหนื่อย และได้รับการ admit ช้า (DOI8-9) และ delay treatment ทำให้คนไข้อาการหนักมาตั้งแต่แรกรับ และต้องเข้า intermediate/ICU มากกว่าเดิม เปิดเพิ่มเท่าไหร่ก็ไม่พอ (เพราะมีแต่เตียง ไม่มีคนพอ เราเรียกเตียงทิพย์)

– โรงพยาบาล ต่าง ๆ เกิดปรากฏการณ์ “ป้อมแตก” มีคนไข้บวกใน ward ที่เป็น ward สามัญ หรือมีเข้าหน้าที่ติดเชื้อมาจากบ้านโดยไม่ได้ตั้งใจ (อาจจะเพราะไปได้มาจากลูกหลาน, บางส่วนได้มาเพราะยังไปสถานที่ชุมนุมชนเช่น fitness เป็นต้น)

– มีเพื่อน คนรู้จัก หรือแพทย์/เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนที่ติดเชื้อ ส่วนใหญ่จะติดจากการสัมผัสผู้ติดเชื้อโดยที่เราไม่ทันทราบ และไม่ได้ตั้งใจ หลาย ๆ คนใช้ชีวิตปลอดภัยมาก แต่พลาดเพราะไม่รู้ว่าคนที่เราอยู่ใกล้ ๆ นำพาเชื้อมา (เพราะไม่คิดว่าเค้าจะติดได้ เราเลยประมาท)

– เป็นช่วงที่เริ่มได้ notice ว่าให้ใช้ favipiravir ด้วยความจำกัดจำเขี่ยมากขึ้นจนทำให้เรากลัวเหลือเกินว่าจะมียาเหลือพอหรือไม่

โควิดเชียงใหม่
ตรวจความโรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยแม่โจ้ แห่งที่ 3 ความจุ 400 เตียง

– และมันก็เกิดวงจรที่ไม่ควรเกิด

=> เตียงไม่พอ => admit ไม่ได้ => รออยู่บ้าน => อาการหนักเพราะ delay ยา=> ต้องใช้ยาเยอะกว่าเดิมและใช้ ICU => กินเตียงนาน => เตียงเต็มเตียงไม่พอ วนไปเป็นนิรันทร์

– นอกจากนี้พอทุก ๆ ที่เกินศักยภาพ มีการประสานส่วนกลางเพื่อกระจายเคสหนักเข้า ICU ในแต่ละรพที่มีศักยภาพ

– แต่เตียงก็มันเต็มมมมมมมมม จนอยากจะบอกว่ารับไม่ได้อ่า ฝ่ายจัดการเตียงและทรัพยากรก็หมุนกำลังเต็มที่ หมุนจนไม่คิดว่าเราจะทำได้ขนาดนี้

– เจ้าหน้าที่ทำงานหนักแบบ 200% ทุกภาคส่วนไม่เว้นแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรอื่น ๆ นอกโรงพยาบาล

– บาง โรงพยาบาล ไม่วามารถรับเคสได้อีกเพราะเตียง “ล้น” บางโรงพยาบาลคนหายไปเพราะถูก quarantine หรือ ติดเชื้อไปบางส่วน

– การดูแลผู้ป่วย non covid เริ่มได้รับปัญหาเรื่อย ๆ เพราะเกิดการ down size ระบบบริการเพื่อไปเทกับ COVID care

– สถานการณ์ที่เป็นแบบนี้ ยาที่เริ่มจำกัดจำเขี่ย เราก็ยังได้ยิน timeline ประหลาด ๆ เช่น บุคคลชั้นสูงของบางกิจการติดเชื้อเป็นร้อยเพราะไปจ้างสาว PR มาจัดงานเลี้ยงในช่วงเวลาแบบนี้ เป็นต้น

– ข่าวผู้เสียชีวิตรายวันเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ช้า ๆ

สุดท้าย ภาพที่เห็นในอนาคตนี้ช่างยากลำบากเหลือเกิน

ขอให้ทุกท่านช่วยกัน และรีบร่วมมือหยุดวงจรเหล่านี้ เพราะถ้าไม่เช่นนั้น อาจจะมีวันที่เราไม่เหลือเตียงและยารักษา

หวังว่าเบื้องบนระดับผู้ใหญ่ระดับประเทศจะเห็นพ้องตรงกันว่า นี่คือวิกฤตของประเทศแล้ว

อาเมน”

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo