COVID-19

อย่าแชร์! 5 ข่าวลือป่วนวัคซีนโควิด-19 หวั่นสะดุดแผนฉีดวัคซีน

5 ข่าวลือป่วนวัคซีนโควิด-19 โคแฟคแนะเช็กก่อนแชร์ วอนอย่าตื่นตระหนก จนไม่กล้าฉีดวัคซีน หวั่นกระทบแผนการฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ภาคีโคแฟค ประเทศไทย (cofact.org) เปิดเผยว่า จากการรวบรวมของ โคแฟค พบ 5 ข่าวลือป่วนวัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะประเด็นการเกิดผลข้างเคียง หรืออาการไม่พึงประสงค์ หลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่กำลังถูกพูดถึงในประเทศไทย และต่างประเทศ ดังนี้

5 ข่าวลือป่วนวัคซีนโควิด-19

1. วัคซีนฝังไมโครชิป

เป็นประเด็นที่ถูกลือกันมากที่สุดในสังคมตะวันตก ตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดในช่วงแรกๆ โดยเชื่อว่าเป็นแผนการของพวกนายทุนด้านเทคโนโลยี ที่ต้องการปูทางไปสู่ การฝังไมโครชิปประชากรทั่วโลก เช่น ข่าวจาก BBC รายงานว่าผลการสำรวจของ ยูกอฟ (YouGov) บริษัทรับทำโพลชื่อดังของอังกฤษ ที่สอบถามความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันจำนวน 1,640 คน สรุปผลได้ว่า 28% เชื่อเรื่องแผนการฉีดวัคซีนเพื่อฝังไมโครชิป เป็นต้น

ข่าวลือนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือน มี.ค. 2563 เจ้าพ่อไอที บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ ออกมาพูดเปรย ๆ ว่า ในอนาคตจะมีการออกใบรับรองดิจิทัล สำหรับผู้ที่เคยป่วยจากไวรัสโควิด และได้รับการรักษาจนหายแล้ว ไปจนถึงผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน

ข่าวลือเรื่องวัคซีนโควิดฝังไมโครชิป กลับมาพูดถึงอีกครั้งในช่วงปลายปี 2563 เมื่อสหรัฐฯ เตรียมการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยใช้วัคซีนที่พัฒนาโดยไฟเซอร์ (Pfizer) ทำให้ทางไฟเซอร์ต้องชี้แจงส่วนผสมของวัคซีน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10 ชนิด ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ใช้ในวัคซีนหลาย ๆ ชนิดอยู่แล้ว และไม่มีส่วนผสมที่เกี่ยวข้องกับไมโครชิป

ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2564 กระทรวงสาธารณสุขของออสเตรเลีย ได้ออกมายืนยันว่า ไม่พบการติดตั้งซอฟต์แวร์ หรือไมโครชิป ในวัคซีนโควิด-19 ในชนิดใดๆ ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ จากการตรวจสอบทางบีบีซี สรปได้ว่า ข่าวลือนี้ไม่เป็นความจริง

ข่าวลวง

2. วัคซีนเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอมนุษย์

ข่าวลือนี้ที่ถูกพูดถึง พร้อมสร้างความเป็นกังวลอย่างมาก ในสังคมไทยและต่างประเทศ โดยกล่าวถึงพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอ (DNA) ในกระบวนการผลิต และการทำงานของวัคซีน จะส่งผลข้างเคียง ทำให้ดีเอ็นเอของผู้ที่ได้รับวัคซีน เกิดการเปลี่ยนแปลงได้

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) จึงออกมาชี้แจงเรื่องนี้ว่า วัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีทั้ง 2 ชนิด คือ mRNA เช่น วัคซีนของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา (Moderna) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่นำรหัสพันธุกรรมส่วนเล็ก ๆ ของไวรัสมาใช้กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน กับ Viral Vector เช่น วัคซีนของแอสต้ราเซนเนกา (AstraZeneca) ใช้วิธีฝากสารพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 ไปกับไวรัสชนิดอื่น

แต่เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้ว จะเกิดการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ต่อไวรัสโควิด-19 ด้วย และถึงแม้จะส่งสารพันธุกรรมเข้าไปในร่างกายมนุษย์ แต่สารนั้น จะไม่เข้าไปถึงนิวเคลียส อันเป็นที่เก็บดีเอ็นเอ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อดีเอ็นเอแต่อย่างใด ทางสำนักข่าวบีบีซีและรอยเตอร์ตรวจสอบแล้วพบว่า ข่าววัคซีนเปลี่ยนดีเอ็นเอนี้ไม่เป็นความจริง

3. วัคซีนทำให้คนเป็นหมัน

การมีลูกเพื่อสืบทอดถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากในหลาย ๆ ครอบครัว ข่าวลือนี้ได้สร้างความเครียด กังวลใจและมีแนวโน้มว่า ในกลุ่ม สามี-ภรรยาหลายคู่ จะปฏิเสธการรับวัคซีน เพราะเชื่อว่าวัคซีนวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์

กระทรวงสาธารณสุขของออสเตรเลีย โดยหน่วยงานบริหารสินค้าด้านอายุรเวท (Therapeutic Goods Administration-TGA) ได้ระบุว่า ข่าวลือนี้อ้างถึงโปรตีนซินซิติน-1 (Syncytin-1) ที่ช่วยการพัฒนารก ซึ่งมีอยู่ในหนามแหลมของเชื้อโควิด-19 เหมือนกัน แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่า การได้รับวัคซีนโควิด-19 หรือแม้แต่วัคซีนป้องกันโรคอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ หรือการพัฒนาของรกแต่อย่างใด

ข่าว “แนะท่านชายนำเชื้ออสุจิไปแช่แข็งก่อนรับวัคซีนโควิด” ได้ตรวจสอบแล้วว่า ไม่เป็นความจริงด้วยเช่นกัน โดยศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย บมจ.อสมท ตรวจสอบจากแหล่งข้อมูล #SureVac โดย Newtral.es

สุภิญญา กลางณรงค์
สุภิญญา กลางณรงค์

4. วัคซีนช่วยเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชาย

สาเหตุที่ประเด็นนี้ถูกพูดถึง เนื่องจากมีการอ้างถึงงานวิจัยชิ้นนึงว่า วัคซีนโควิด-19 จะช่วยเพิ่มขนาดของอวัยวะเพศชายให้ยาวขึ้น ทำให้ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง เมื่อต้นเดือน ม.ค. 64 ถึงกรณีมีการส่งต่อภาพที่อ้างว่าเป็นข่าวจากสำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา ที่พาดหัวข่าวว่า แพทย์สนับสนุนให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่อวัยวะเพศชาย เพราะจะทำให้วัคซีนกระจายไปทั่วร่างกายเร็วขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น มีการแชร์ไปถึงขนาดว่า ยังจะช่วยเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชายให้ยาวขึ้นได้ถึง 3 นิ้ว โดยทั้ง 2 ข่าวได้กล่าวถึงอ้างงานวิจัย แต่จากการตรวจสอบพบว่าเป็นข่าวปลอมทั้งหมด ตั้งแต่งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ทำการศึกษาจากลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,500 คน นั่นไม่มีอยู่จริง หรืออ้างถึงวารสารวิชาการ The New England Journal of Merdecine นั้นก็ไม่มีอยู่จริง

ทั้งนี้ วารสารที่มีจริงคือ The New England Journal of Medicine ซึ่งก็ไม่เคยตีพิมพ์บทความทำนองนี้แต่อย่างใด แม้กระทั่งสำนักข่าว CNN ก็ไม่เคยเสนอข่าวตามภาพที่นำมาอ้างกันด้วย เช่นเดียวกับตรวจสอบจากสำนักข่าว AFP และ อีกหลายสำนักสรุปตรงกันข่าวที่อ้าง CNN นี้เป็นข่าวลวง

5. วัคซีนมีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ต้องห้ามตามหลักศาสนา

ในบางศาสนา มีข้อห้ามการบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของสัตว์บางชนิด เช่น ศาสนาฮินดูห้ามบริโภคเนื้อวัว ศาสนาอิสลามห้ามบริโภคเนื้อหมู ทำให้เมื่อมีการเผยแพร่ข่าวลือผิดๆ ว่าวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ทำจากส่วนประกอบของสัตว์ดังกล่าว ดังนั้นจึงนำไปสู่การปฏิเสธการรับวัคซีน จากบรรดาศาสนิกชน

ที่ประเทศอังกฤษ ช่วงต้นปี 2564 ดร. ฮาร์พรีท สูท หัวหน้าหน่วยต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ยอมรับว่า ทีมงานทำงานกันอย่างหนักและยากลำบากด้วยข้อจำกัดด้านภาษาและวัฒนธรรม จากกรณีพบผู้มีเชื้อสายเอเชียใต้ (ภูมิภาคที่ประกอบด้วยประเทศอินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ ศรีลังกา เนปาล ภูฏาน และมัลดีฟส์) ที่อาศัยอยู่ในอังกฤษ มีแนวโน้มปฏิเสธการรับวัคซีนโควิด-19 โดยต้องทำงานร่วมกับผู้นำศาสนา อธิบายให้ศาสนิกชนเหล่านี้มั่นใจว่าวัคซีนโควิด-19 ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสม

ขณะที่ ทาง Newsweek เองก็มีการตรวจสอบแล้วว่า เป็นข่าวลวง โดยเฉพาะในวัคซีนของไฟเซอร์ และในส่วนของประเทศอินโดนีเซียที่ประชากรนับถือศาสนาอิสลามส่วนใหญ่ได้เริ่มมีการฉีดวัคซีนกันไปแล้ว

ความสับสนและข่าวปลอมเรื่องวัคซีนที่เกิดขึ้น และแพร่กระจายออกไปในวงกว้างดังกล่าวนี้ สุภิญญา ยอมรับว่า ข้อมูลข่าวสารเรื่องวัคซีนไม่นิ่งและอลหม่านมากจึงทำให้คนกลัว ไม่ใช่แค่ในประเทศแต่ทั่วโลก มีทั้งมิติวิทยาศาสตร์และการเมืองปนกัน เรื่องวัคซีนยังเป็นนโยบายสาธารณะด้วย

ดังนั้น ภาครัฐต้องเร่งตอบคำถามจากสังคมให้ชัดเจน เช่น ทำไมเราได้รับฉีดวัคซีนช้า มีตัวเลือกอื่นหรือไม่ การบริหารจัดการโปร่งใสหรือเปล่า และ การเข้าถึงวัคซีนเป็นสิทธิ์ทั่วถึงเป็นธรรม รวมถึงการให้ข้อมูลที่สร้างความมั่นใจในความปลอดภัย เป็นต้น

ส่วนประชาชนควรแยกแยะว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือความคิดเห็นหรือความเชื่อ จะได้ไม่สับสนและมีความมั่นใจมากขึ้น ถ้าไม่แน่ใจอะไร ส่งมาให้สื่อมวลชน เช่น สำนักข่าว AFP ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สมาคมนักข่าวฯ และ โคแฟคเพื่อช่วยตรวจสอบได้เช่นกัน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo