COVID-19

วัคซีนแอสตราเซนเนกา ผลิตในไทย คืบหน้า ยันปลอดภัย ไม่เกี่ยวภาวะลิ่มเลือด

วัคซีนแอสตราเซนเนกา ผลิตในไทย ก้าวหน้า สถาบันวัคซีนแห่งชาติย้ำ องค์การอนามัยโลก สหภาพยุโรป (EU) รับรอง วัคซีนปลอดภัย ไม่เกี่ยวภาวะลิ่มเลือด

นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดเผยว่า การผลิต วัคซีนแอสตราเซนเนกา ผลิตในไทย มีความก้าวหน้า เป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยการดำเนินการผลิตวัคซีนของ สยามไบโอไซเอนซ์ ได้รับการควบคุมคุณภาพอย่างใกล้ชิด จากผู้เชี่ยวชาญของ แอสตราเซนเนกา ให้เป็นไปตามมาตรฐาน ของบริษัท

วัคซีนแอสตราเซนเนกา ผลิตในไทย

นอกจากนี้ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการติดตามความก้าวหน้าของการผลิตวัคซีน จากการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี อย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน สยามไบโอไซเอนซ์ ได้ทยอยผลิตวัคซีน ตั้งแต่ระดับต้นน้ำแล้ว จำนวน 5 รุ่นการผลิต และอยู่ระหว่างการส่งตรวจคุณภาพวัคซีนที่ผลิตได้ ณ ห้องปฏิบัติการ อ้างอิงในสหราชอาณาจักร และสหรัฐ

พร้อมกันนี้ หน่วยงานควบคุมกำกับในประเทศ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และ สถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มีการติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการดำเนินการ และสามารถส่งมอบวัคซีนได้ ในระยะเวลาที่กำหนด

สำหรับกำหนดการส่งมอบวัคซีนจาก แอสตราเซนเนกา ให้แก่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อยู่ในช่วงกลางปี 2564 โดยจะทยอยส่งมอบในอัตราเดือนละ 5-10 ล้านโดส จนครบ 61 ล้านโดส ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนการฉีดวัคซีนของ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

ทั้งนี้ สยามไบโอไซเอนซ์ เป็นบริษัทผู้ผลิตยาและชีววัตถุ ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 25 ฐานการผลิตวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่กระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยเป็นโรงงานที่ได้รับการเสริมศักยภาพจากที่มีอยู่เดิม ไม่ใช่การสร้างโรงงานใหม่ตามที่มีหลายฝ่ายเข้าใจ

นพ.นคร เปรมศรี

สำหรับ สยามไบโอไซเอนซ์ ได้รับการประเมินจาก แอสตราเซนเนกา ตั้งแต่ปลายไตรมาสที่สองของปี 2563 ภายใต้การพิจารณาองค์ประกอบหลายด้าน ได้แก่ ด้านศักยภาพและความเชี่ยวชาญของบุคลากร ความพร้อมของเครื่องมืออุปกรณ์การผลิต การผ่านการรับรองมาตรฐานและคุณภาพการผลิตระดับสากล ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังได้รับการคัดเลือกเป็นฐานการผลิตวัคซีน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อเดือนกันยายน 2563 โดยเริ่มการถ่ายทอดเทคโนโลยีในราวต้นเดือนตุลาคม 2563 จนสามารถเริ่มการผลิตจริงในราวกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

ส่วนประเด็น ชะลอการใช้วัคซีนแอสตราเซนเนกา ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เนื่องจากมีรายงาน การเกิดภาวะการเกิดลิ่มเลือด ภายหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ที่ประเทศเดนมาร์ก และนอร์เวย์นั้น

ล่าสุด องค์การอนามัยโลก และหน่วยงานกำกับคุณภาพยา ของสหภาพยุโรป (EU) ได้ให้การยืนยันว่า วัคซีนของแอสตราเซนเนกาเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับวัคซีนจากบริษัทอื่น ที่มีการใช้กันอย่างกว้างขวาง

ปัจจุบัน วัคซีนของแอสตราเซนเนกา มีการฉีดให้กับประชาชนในสหราชอาณาจักรแล้ว มากกว่า 16 ล้านโดส จากข้อมูลไม่พบความกังวลด้าน ความปลอดภัยของวัคซีน จึงมีข้อแนะนำให้แต่ละประเทศ ดำเนินการฉีดวัคซีนต่อไปได้

วัคซีนโควิดรพ.สนาม ๒๑๐๒๒๗ 1

ในส่วนของประเทศไทย ได้พิจารณาเริ่มการฉีดวัคซีน ของแอสตราเซนเนกา ตามข้อแนะนำของหน่วยงานข้างต้น พร้อมกับการวางมาตรการติดตาม ด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการดำเนินการ ฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับประชาชนไทย

พร้อมกันนี้ ในการจัดหาวัคซีนอื่น ที่จะนำมาฉีดให้แก่ประชาชน เฉพาะในช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 2564 นั้น กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดหาวัคซีนจากบริษัท ซิโนแวค ประเทศจีน จำนวน 2 ล้านโดส เพื่อใช้ในพื้นที่ที่มีสถานการณ์การระบาดของโรค

ส่วนการส่งมอบวัคซีนล่าช้ากว่าแผน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่วัคซีนมีจำนวนจำกัด ขณะที่ความต้องการวัคซีนมีสูงมาก และประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ ได้ทำการจองซื้อวัคซีนล่วงหน้า ในจำนวนที่มากกว่าประชากรในประเทศ หลายเท่าตัว

“การจัดหาวัคซีนโควิด 19 ในช่วงที่มีภาวะฉุกเฉิน มีการแปรเปลี่ยนของสถานการณ์อย่างมาก ทั้งในส่วนที่จะมีวัคซีนใหม่ ๆ ทยอยประกาศผล ประเทศไทยจะสามารถพิจารณาจัดหาวัคซีนเพิ่มได้อย่างเหมาะสม”นพ.นคร กล่าว

ขณะที่กรณีการรายงานเชื้อกลายพันธุ์ ที่อาจส่งผลต่อการใช้วัคซีนที่ผลิตรุ่นแรก การที่ประเทศไทยในเวลานี้สามารถวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนได้ตั้งแต่ต้นน้ำ จะเป็นหลักประกันอันดีว่า ไทยจะสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ ในเวลาที่เหมาะสม และสามารถพึ่งพาตนเอง ในการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ทั้งในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 และโรคติดต่ออุบัติใหม่ ในอนาคตได้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo