ศบค.ย้อนกลับ 15 เมษายน ยอดผู้ป่วยโควิด-19 สะสมจริง 2,643 ราย ต่ำกว่านักวิชาการ เคยคาดการณ์จะมียอดป่วยรวม 3.5 แสนราย ขอความร่วมมือคนไทยช่วยกันต่อไป อย่าเพิ่งใช้ชีวิตตามปกติ ชี้จุดเสี่ยงยังมี ย้ำกรุงเทพ-นนทบุรี-สมุทรปราการ ป่วยจากการสัมผัสคนในบ้านเพิ่มเป็น 23% แนะต้องเว้นระยะห่างในบ้านด้วย
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ระบุว่า ผู้ป่วยรายใหม่ 30 ราย ยอดผู้ป่วยสะสม 2,643 ราย รักษาหายกลับบ้าน เพิ่ม 92 ราย รวมหายกลับบ้านแล้ว 1,497 ราย รักษาตัวในรพ.1,103 ราย เสียชีวิต 2 ราย
กลุ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่ ประกอบด้วย
- สัมผัสผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้า 19 ราย
- กลับจากต่างประเทศ 1 ราย มาจากฝรั่งเศส
- เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้า State Quarantine 1 ราย มาจากสหรัฐ
- ไปสถานที่ชุมชน 2 ราย
- รอบสอบสวนโรค 7 ราย
ผู้เสียชีวิต 2 ราย ประกอบด้วย รายแรกเป็น หญิงไทยอายุ 65 ปี อาชีพ ขายอาหารบนถนนคนเดิน มีโรคประจำตัวเคือ เบาหวาน ไตเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง วันที่ 7 มีนาคม มีไข้ ไอ ซื้อยามากินเอง ต่อมาไปตรวจรพ.เอกชน ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีประวัติสัมผัสสมาชิกในบ้านที่ป่วย ต่อมามีอาการเหนื่อยหอบ ปอดอักเสบรุนแรง หัวใจโต วันที่ 6 เมษายน ไม่รู้สึกตัว ความดันโลหิตตก ให้ยากระตุ้น และ เสียชีวิตในวันที่ 13 เมษายน
รายที่ 2 เป็นชายไทย อายุ 60 ปี มีประวัติร่วมพิธีกรรมทางศาสนาที่อินโดนิเซีย กลับมาถึงไทย 24 มีนาคม ต่อมาไข้สูง รักษาตัวที่รพ.ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอาการแย่ลง เสียชีวิต 14 เมษายน ทั้งนี้ผู้เสียชีวิตถือเป็นครูของเรา ทำให้เรารับทราบปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
สำหรับกลุ่มเสี่ยงของไทยในตอนนี้ ป่วยมากที่สุดเป็น กลุ่มอายุ 30-39 ปี ป่วยรวม 627 ราย อายุเฉลี่ยผู้ป่วย 40 ปี ผู้ป่วยอายุน้อยที่สุด 1 เดือน มากที่สุด 97 ปี
ทางด้านผู้ป่วยรายจังหวัด พบว่าผู้ป่วยสะสมรวม 68 จังหวัด สูงสุดอยู่ในพื้นที่ กรุงเทพ 1,328 ราย รองลงมาเป็น ภูเก็ต 190 ราย นนทบุรี 149 ราย สมุทรปราการ 108 ราย จังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุด คือ ภูเก็ต 45.96 กรุงเทพ 23.42 ยะลา 17.41 นนทบุรี 11.86 ปัตตานี 11.78
ส่วนจังหวัดที่ยังไม่มีรายงานผู้ป่วย 9 จังหวัดเช่นเดิม ประกอบด้วย กำแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี และอ่างทอง
จากตัวเลขสะสม ผู้ป่วยยังกระจุกตัวในกรุงเทพ ปริมณฑล และชายแดนภาคใต้ เมื่อเราโฟกัสกรุงเทพ นนทบุรี และสมทุรปราการ พบว่าเดือนมีนาคม และเมษายน แตกต่างกัน การป่วยมาจากการสัมผัสใกล้ชิดคนในบ้าน จาก 8% เป็น 23% ดังนั้นทำอย่างไรต้องไม่ให้เกิดการติดเชื้อในบ้านด้วย จึงจะลดการติดเชื้อเพิ่มได้อย่างแท้จริง โดยอยู่ใบ้านก็ต้องใช้หน้ากากอนามัย และต้องอยู่ห่างกัน มีปฎิสัมพันธ์ได้ แต่ไม่ใกล้ชิดกันมาก เพราะฝุ่นละอองฝอยจากสารคัดหลั่ง ตกได้ไกลไม่เกิน 2 เมตร
ส่วนที่ชลบุรี เรามาถอดบเรียนให้รับรู้ จากพฤติกรรมของกลุ่มคน ทำให้ต้องสั่งปิดหลายสถานที่อย่างต่อเนื่อง และยังมีการสัมผัสคนในบ้าน และบุคลากร ทำให้ต้องเสียบุคลากรในการทำงาน
” ย้ำว่าทำไมต้องมีมาตรการปิดร้านต่าง เข้าใจว่าทุกคนเดือดร้อน แต่หากเห็นตัวเลขบ่อยๆจะเข้าใจว่า เรายังไม่อยากให้ดำรงชีวิตปกติ เพราะตอนนี้ไปที่ชุมชนก็ติดแล้ว หรือเดินทางมาจากต่างประเทศติดเชื้อ 1 ราย ซึ่งกลับจากสหรัฐ ต่อเครื่องที่ญี่ปุ่น ก็ไม่รู้ว่าติดจากตรงไหน ดังนั้นเราต้องช่วยกันต่อไป หากมีคนหายเยอะ บุคลากรทางการแพทย์ ก็จะมีเวลาดูแลคนป่วยแต่ละรายมากขึ้น ”
เมื่อมาดูมาตรการเคอร์ฟิว เราพบว่ามีตัวเลขผู้กระทำผิดลดลง ถือเป็นเรื่องที่ดี ก็ขอให้คนในครอบครัวเตือนกัน ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ระบุว่า คนในครอบครัว และชุมชน สามารถโทรมาแจ้งได้ หากได้ยินเสียงไม่ปกติ ตำรวจจะไปดูแลให้ ผิดจริงก็ต้องจับจริง แต่หากร่วมมือกันตั้งแต่ต้นก็ไม่ต้องดำเนินคดี
เรื่องการดำเนินคดี เราติดตามทุกวัน เพื่อให้ประชาชรับทราบว่ามีมาตรการนี้ และสะท้อนภาพให้เจ้าหน้าที่ ฝ่ายมั่นคง และสาธารณสุข ได้ทราบว่าตัวเลขเกิดในพื้นที่ไหน ซึ่งพบว่าฝ่าฝืนมาตรการเคอร์ฟิวสูงสุด เกิดขึ้นในจังหวัดปทุมธานี 61 ราย รองลงมาเป็นนนทบุรี 56 ราย กรุงเทพ 55 ราย ชลบุรี 35 ราย
นพ.ทวีศิลป์ ย้ำว่า มาถึง ณ วันนี้เราติดเชื้อรายใหม่น้อยลง รวมติดเชื้อสะสม 2,643 ราย ไม่เป็นไปตามที่มีนักวิชาการออกมาบอกก่อนหน้านี้ ว่ากรณีเลวร้าย ไทยจะมีผู้ป่วยถึง 350,000 ราย ณ วันที่ 15 เมษายน มาถึงวันนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น และเรายังเห็นภาพจิตอาสา เห็นภาพการ ปรุงกับข้าวแจกคนทุกข์ หรือบางโรงแรม เอาแม่ครัวมาทำกับข้าวขายราคาถูก 20 บาท ภาพอย่างนี้เกิดในสังคมไทย และอยากให้เกิดมากขึ้น
- ชมสด! ‘ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19’ แถลงสถานการณ์โควิด-19 วันที่ 15 เม.ย.63
- สถานการณ์ดี ! ผู้ป่วยหายโควิด-19 กลับบ้านหลักร้อย ป่วยหลักสิบ จากความร่วมมือทุกภาคส่วน
- ‘รัฐบาล’ เตรียมทบทวนสถานการณ์ปลายเดือนนี้ แง้มอาจผ่อนมาตรการโควิด-19