COVID-19

หมอเฟาชีแห่งฮ่องกง ยกธงแดงเตือนรับมือโรคระบาดที่ร้ายกว่าโควิด-19

หมอเฟาชีแห่งฮ่องกง เตือนภัยเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดครั้งใหม่ ที่อาจร้ายแรงกว่าโควิด-19 จากสภาพแวดล้อมผันผวน

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics  ระบุว่า คำเตือนจากหมอเฟาชีแห่งฮ่องกง เตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดครั้งใหม่ที่อาจร้ายแรงกว่าโควิด-19

หมอเฟาชีแห่งฮ่องกง

นักจุลชีววิทยาชาวฮ่องกง ศ.นพ. หยวน กว็อก-หยง (Yuen Kwok-yung) ซึ่งมักถูกเรียกว่า หมอเฟาชีแห่งฮ่องกง ยกธงแดงเตือนภัยเกี่ยวกับ อันตรายที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ของการเกิดโรคระบาดครั้งใหม่ ซึ่งอาจมีความร้ายแรงมากกว่าโควิด-19

ในฐานะแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในการต่อสู้กับโรคติดเชื้อที่รุนแรงที่สุดของโลกหลายโรค รวมถึงไวรัสซาร์สที่เขาช่วยแยกเชื้อและระบุอัตลักษณ์ได้ในปี 2546 คำเตือนของ ศ. นพ. หยวนจึงมีน้ำหนักอย่างมาก

คำเตือนของ ศ. นพ. หยวน กว็อก-หยง เกี่ยวกับโอกาสที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการปะทุของโรคระบาดครั้งใหม่นั้น มีพื้นฐานมาจากปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เร่งตัวขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ผันผวน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการร่วมมือกันทั่วโลกและมาตรการเชิงรุกเพื่อบรรเทาภัยคุกคามเหล่านี้

การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างรวดเร็ว

พลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์ (ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิศาสตร์กับการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น ที่ตั้ง ทรัพยากร และลักษณะทางกายภาพ ส่งผลต่อนโยบาย ยุทธศาสตร์ และอำนาจของรัฐ รวมถึงการแข่งขันและความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับโลก) ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพระดับโลก มักทำให้ความไม่เท่าเทียมทางสุขภาพเลวร้ายลงและทำให้บริการด้านสุขภาพหยุดชะงัก

ต่อไปนี้คือประเด็นสำคัญบางประการ

  • ความขัดแย้งและบริการด้านสุขภาพ

ความขัดแย้งระหว่างประเทศสามารถนำไปสู่การหยุดชะงักอย่างกว้างขวางในบริการด้านสุขภาพ รวมถึงการรณรงค์ฉีดวัคซีนและการป้องกันโรคไม่ติดต่อ ตัวอย่างเช่น การกลับมาระบาดของโรคโปลิโอในปากีสถานและอัฟกานิสถาน และการระบาดของอหิวาตกโรคครั้งประวัติศาสตร์ในเยเมน ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่สงครามกลายเป็นจุดร้อนของการระบาดของโรคเนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขถูกทำลาย

  • ความไม่สมดุลของอำนาจ

การแข่งขันด้านอำนาจและอุดมการณ์ โดยเฉพาะระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน มีอิทธิพลต่อการตอบสนองด้านสุขภาพระดับโลก ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ได้เป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ แม้แต่องค์กรที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอย่างกลุ่มประเทศ G7 (ประกอบด้วยสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น) ก็ยังประสบความยากลำบากในการบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการร่วมกันในการต่อสู้กับไวรัส ยิ่งไปกว่านั้น ความร่วมมือกับประเทศนอกกลุ่ม โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจอย่างจีน ยิ่งเป็นไปได้ยากกว่า ซึ่งส่งผลให้การรับมือกับการระบาดในระดับโลกขาดความเป็นเอกภาพ

  • การพลัดถิ่นและสุขภาพ

ความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์มักนำไปสู่การพลัดถิ่นครั้งใหญ่ ส่งผลให้เกิดค่ายผู้ลี้ภัยที่แออัดและมีสุขาภิบาลไม่เพียงพอ สภาพแวดล้อมเช่นนี้เหมาะสมสำหรับการแพร่กระจายของโรคติดต่อ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพกายและจิตของประชากรที่พลัดถิ่น

shutterstock 2307918081

การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ

การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจก็มีบทบาทสำคัญในการเตรียมพร้อมและตอบสนองต่อโรคระบาด

  • การชะงักงันทางเศรษฐกิจ

การระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยการเว้นระยะห่างทางสังคม การแยกตัวเอง และข้อจำกัดในการเดินทางนำไปสู่การลดลงของแรงงานในทุกภาคส่วน ส่งผลให้เกิดการสูญเสียงานและความไม่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จุดประกายความกลัวว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจและภาวะถดถอยที่ยืดเยื้อประสบการณ์นี้เป็นบทเรียนชี้ถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจต่อการระบาดใหญ่ และความจำเป็นในการเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคระบาดครั้งใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

  • สุขภาวะมวลชนและเศรษฐกิจมหภาค (GDP)

มีผลกระทบอย่างมากของสาธารณสุขต่อประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ ประชากรที่มีสุขภาพดีมีศักยภาพในการทำงานและประสิทธิภาพมากกว่า ส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในทางกลับกัน สุขภาพที่ไม่ดีสามารถนำไปสู่การลดลงของศักยภาพของแรงงานและการชะงักงันทางเศรษฐกิจ

  • การค้าโลกและห่วงโซ่อุปทาน

ระบบการค้าโลกและเครือข่ายการขนส่งที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนในปัจจุบัน เป็นดาบสองคมในแง่ของการแพร่ระบาดของโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดโรคอุบัติใหม่ การเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ และผู้คนข้ามพรมแดนอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง สามารถเป็นพาหะในการแพร่กระจายเชื้อโรคจากจุดกำเนิดไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทำให้การควบคุมการระบาดในระยะเริ่มต้นเป็นไปได้ยากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการระบาดใหญ่ในระดับโลก

นอกจากนี้ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานระหว่างการระบาดยังอาจส่งผลให้เกิดการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ซึ่งอาจเพิ่มความรุนแรงของการระบาดได้ ดังนั้น การเข้าใจและการจัดการกับความเสี่ยงในระบบการค้าโลกและห่วงโซ่อุปทานจึงเป็นส่วนสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดครั้งใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจัยสำคัญของโรคติดเชื้ออุบัติใหม่

  • การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและการแพร่กระจายของโรค

เมื่อสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง สัตว์อพยพไปยังพื้นที่ใหม่ ทำให้เกิดการแพร่เชื้อก่อโรคระหว่างโฮสต์ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงนี้สร้างความกังวลเกี่ยวกับการเกิดโรคระบาดใหม่ที่เกิดจากความไม่มั่นคงของสภาพภูมิอากาศ

  • เหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงและความเสี่ยงต่อโรคระบาด

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดภาวะอากาศแปรปรวนรุนแรงบ่อยครั้งขึ้น เช่น คลื่นความร้อน พายุ และน้ำท่วม ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดครั้งใหม่ ภัยพิบัติเหล่านี้สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข ส่งผลให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นและความแออัด ซึ่งเอื้อต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรค

การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแพร่กระจายของพาหะนำโรค เช่น ยุงหรือสัตว์พาหะอื่นๆ เพิ่มโอกาสในการเกิดโรคอุบัติใหม่และการระบาดของโรคติดต่อในวงกว้าง

  • โรคที่มีแมลงเป็นพาหะ

การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนสร้างที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับพาหะนำโรค เช่น ยุงและเห็บ ทำให้ขยายพื้นที่ทางภูมิศาสตร์และเพิ่มโอกาสในการแพร่เชื้อ ตัวอย่างเช่น การระบาดของโรคเช่น มาลาเรีย ไข้เลือดออก และอหิวาตกโรค ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

shutterstock 2454495051

ศ.นพ. หยวน กว็อก-หยง เรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายตระหนักถึงความเร่งด่วนในการ  ใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบ เพื่อรับมือกับ ภัยคุกคามระดับโลกที่ส่งผลต่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ

ท่านชี้ให้เห็นว่า แม้ผู้นำประเทศส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ในระดับชาติหรือภูมิภาคเป็นหลัก แต่ผลกระทบร่วมของวิกฤตสภาพภูมิอากาศและการอุบัติของโรคติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ ควรได้รับการยกระดับให้เป็นประเด็นสำคัญเร่งด่วนในระดับโลก ที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกันแก้ไขอย่างจริงจัง

ภูมิหลังและความเชี่ยวชาญของ ศ.นพ. หยวน กว็อก-หยง

นพ. หยวน เกิดในฮ่องกงในช่วงปลายทศวรรษ 1950 เขามาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน เติบโตในห้องเช่าขนาดเล็กกับครอบครัว นับตั้งแต่จบการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ในปี 1981 เขาได้อุทิศตนให้กับงานด้านสาธารณสุข ทำงานในโรงพยาบาลของรัฐในฮ่องกง

นพ. หยวนได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติจากบทบาทสำคัญของเขาในการแยกเชื้อและระบุสายพันธุ์ของไวรัสซาร์สระหว่างการระบาดในปี 2546 ประสบการณ์นี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อวิธีการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ทำให้เขาสามารถนำองค์ความรู้จากงานวิจัยหลังยุคซาร์สเป็นเวลา 20 ปีมาประยุกต์ใช้กับความท้าทายใหม่นี้

การเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาด

นพ.หยวนเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจต้นกำเนิดของโควิด-19 เพื่อป้องกันการระบาดในอนาคต เขาสนับสนุนให้มีการสืบสวนที่เปิดเผยและโปร่งใสเกี่ยวกับต้นกำเนิดของการระบาด ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญในการถอดบทเรียนและปรับปรุงการเตรียมพร้อม

ในปี 2566 นพ. หยวนได้ริเริ่มก่อตั้งเครือข่ายวิจัยโรคระบาด โดยประสานความร่วมมือกับนักวิจัยจากจีนแผ่นดินใหญ่และสหรัฐ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและผลการวิจัยเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เขามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในคุณค่าของความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ โดยเน้นย้ำว่า หากเราละเลยประเด็นนี้ไป เมื่อเผชิญกับการระบาดครั้งต่อไป เราอาจต้องแลกด้วยความเสียหายอย่างมหาศาล ที่ประเมินไม่ได้อีกครั้ง

ในขณะที่โลกยังคงต่อสู้กับผลกระทบของโควิด-19 ความเชี่ยวชาญและคำเตือนของ ศ.นพ. หยวน กว็อก-หยงเป็นการเตือนสติที่สำคัญถึงความจำเป็นอย่างต่อเนื่องในการร่วมมือกันในระดับโลกและการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากโรคระบาดในอนาคตเช่นไข้หวัดนก H5N1

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo