อย. สหรัฐ เตรียมอนุมัติ ‘PEG-แลมบ์ดา’ ยาใหม่รักษาโควิด ฉีด 1 เข็ม ลดเจ็บป่วยรุนแรง-เสียชีวิต จากไวรัสทุกสายพันธุ์
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics เปิดเผยถึงยาตัวใหม่ ที่น่าจะเป็นความหวังในการต่อสู้กับไวรัสโคโรนา ที่สามารถฉีดเพียงเข็มเดียว แต่ป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง และเสียชีวิตได้เปอร์เซ็นต์สูงมาก และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาจาก อย.สหรัฐ ดังนี้
ความหวังยาใหม่ในการรักษาโรคโควิด-19 ผลวิจัยทางคลินิกในสหรัฐพบ “ฉีด” เพียงครั้งเดียวลดอาการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต จากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทุกสายพันธุ์ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ มีฤทธิ์ยับยั้งไวรัสในวงกว้าง (broad spectrum) อาจใช้ต่อสู้กับโรคระบาดทางระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหารอื่นๆในอนาคต

ลดเจ็บป่วยรุนแรง–เสียชีวิต
ผลงานวิจัยทางคลินิกของทีมวิจัยจากสหรัฐซึ่งรายงานในวารสาร “The New England Journal of Medicine” เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2566 สรุปได้ว่าผู้ป่วยติดเชื้อโควิดที่มีความเสี่ยงสูงที่จะแสดงอาการรุนแรง (ส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนมาแล้ว) เมื่อได้รับการฉีด “เพกเลเต็ด อินเตอร์ฟีรอน แลมบ์ดา (pegylated interferon lambda)” เข้าใต้ผิวหนังเพียงครั้งเดียวพบ “มีความเสี่ยงน้อยกว่า” ในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลภายใน 28 วัน (หลังได้รับยา) เทียบกับกลุ่มผู้ที่ได้รับยาหลอก (placebo)
เพกเลเต็ด อินเตอร์ฟีรอน เป็นการผสมสารโพลิเอทิลีนไกลคอล (PEG) เข้าไปกับโมเลกุลของอินเตอร์ฟีรอน การเพิ่ม PEG เข้าไปจะช่วยทำให้สามารถปลดปล่อยอินเตอร์ฟีรอนจากบริเวณที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆได้
อินเตอร์ฟีรอนแลมบ์ดา จับกับตัวรับบนผิวเซลล์ของเยื่อบุผิวเท่านั้น เช่น เซลล์ที่อยู่ในปอด ทางเดินหายใจ และลำไส้ ซึ่งเป็นที่ที่ไวรัสโคโรนา 2019 เข้าจับและออกฤทธิ์เป็นหลัก รวมทั้งที่ตับ นักวิจัยคาดว่านี่คือสาเหตุที่อินเตอร์ฟีรอนแลมบ์ดามีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเพราะได้มีการใช้อินเตอร์ฟีรอนแลมบ์ดากับผู้ป่วยมากกว่า 3,000 รายในการทดลองทางคลินิกอย่างปลอดภัยเพื่อใช้ในการรักษาโรคตับอักเสบ
อาสาสมัครที่เข้าร่วมในโครงการได้รับการฉีดยา เพกเลเต็ด อินเตอร์ฟีรอน แลมบ์ดา หรือ PEG-แลมบ์ดา (PEG-lambda) ภายใน “หนึ่งสัปดาห์” หลังจากแสดงอาการของโควิด-19 พบว่าผู้ที่ได้รับ PEG-แลมบ์ดาแต่เนิ่นๆ คือภายในสามวันแรกของอาการ จะได้รับประโยชน์สูงสุด: พบว่าอาสาสมัครกลุ่มนี้มีความเสี่ยงลดลงที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในเดือนถัดไป 65%
และในบรรดากลุ่มย่อยของอาสาสมัครกลุ่มนี้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน พบความเสี่ยงของการรักษาตัวในโรงพยาบาลลดลงถึง 89% เมื่อเทียบกับยาหลอก (placebo)

เพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคหลายชนิดแบบไม่จำเพาะ
ในกรณีของยาต้านไวรัสยาแพกซ์โลวิด ช่วยลดความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ของผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนได้ถึง 89% ตามการทดลองขั้นสุดท้ายที่ช่วยให้ยาตัวนี้ได้รับการอนุมัติการใช้เป็นกรณีฉุกเฉิน (EUA) จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาในสหรัฐ (FDA)
อย่างไรก็ตาม ข้อแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่งระหว่าง PEG-แลมบ์ดา และ แพกซ์โลวิด ก็คือ PEG-แลมบ์ดาจะเป็นการฉีดเพียงครั้งเดียว แต่ แพกซ์โลวิด ถูกกำหนดให้ผู้ใช้รับประทานยาเม็ดครั้งละ 3 เม็ด 2 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 5 วัน รวมทั้งหมด 30 เม็ด
ดังนั้นการให้ยา PEG แลมบ์ดาจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ป่วยที่จะปฏิบัติตามได้ 100% (100% compliance) เพราะฉีดเพียงเข็มเดียว
ขณะที่ แพกซ์โลวิด มุ่งเป้าหมายไปที่การยับยั้งไวรัสโคโรนา 2019 แต่ PEG-แลมบ์ดาตามทางทฤษฎีจะเพิ่มการป้องกันปราการด่านแรกของระบบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคหลายชนิดแบบไม่จำเพาะ และยังไม่ปรากฎว่าไปกระตุ้นให้ไวรัสเกิดการกลายพันธุ์หรือดื้อยาเหมือนการใช้ยาต้านไวรัสทั่วไป

ยับยั้งไวรัสทุกสายพันธุ์ รวมถึงโอไมครอน
PEG-แลมบ์ดา ผ่านการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสโคโรนา 2019 ทุกสายพันธุ์รวมทั้งโอไมครอน ไม่ว่าโปรตีนหนามจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม ซึ่งแตกกต่างจากการฉีดวัคซีน และการฉีดโมโนโคลนอลแอนติบอดีเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ซึ่งจะด้อยประสิทธิภาพลงเมื่อไวรัสมีการกลายพันธุ์ทำให้โปรตีนส่วนหนามเปลี่ยนไป
PEG แลมบ์ดา เป็นโปรตีนสังเคราะห์เลียนแบบแลมบ์ดาอินเตอร์ฟีรอน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ร่างกายมนุษย์สร้างขึ้นตามธรรมชาติหลั่งออกมาจากเซลล์เม็ดเลือดขาว เมื่อถูกไวรัสรุกราน โปรตีนอินเตอร์ฟีรอนจะเข้าขัดขวางการเพิ่มจำนวนของไวรัสได้แทบทุกชนิ ดที่รุกล้ำเข้ามาภายในเซลล์ นอกจากนี้โปรตีนอินเตอร์ฟีรอนยังส่งสัญญาณไปยังเซลล์ข้างเคียงว่าไวรัสได้บุกรุกร่างกาย กระตุ้นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันแบบลูกโซ่
อินเตอร์ฟีรอนเป็นยาต้านไวรัสตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในวงกว้าง (board spectrum) เป็นปราการด่านแรกของร่างกายป้องกันภัยคุกคามจากไวรัส โดยไม่คำนึงว่าไวรัสจะกลายพันธุ์ไปอย่างไรก็ตาม
การวิจัย PEG แลมบ์ดา เดิมมุ่งเน้นไปที่การรักษาไวรัสตับอักเสบเป็นหลัก แต่จากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่ามีศักยภาพในการต่อต้านไวรัสโคโรนา 2019 ร่วมด้วย
อันเป็นที่มาของทดลองทางคลินิกครั้งนี้ ซึ่งอาศัยผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่เกือบ 2,000 คนที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล 12 แห่งในบราซิล และอีก 5 แห่งในแคนาดา ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 ถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจคือภายในเจ็ดวันหลังจากผู้ติดเชื้อเริ่มมีอาการ ผู้ป่วยจะได้รับการสุ่มให้ได้รับการฉีด PEG แลมบ์ดา หรือยาหลอกเพียงครั้งเดียว พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับ PEG แลมบ์ดา น้อยกว่า 3% ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เทียบกับเกือบ 6% ของผู้ที่ได้รับยาหลอก นั่นแสดงถึงความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ลดลง 51% สำหรับผู้ที่ได้รับยา PEG แลมบ์ดา
ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้นไปเมื่อผู้ป่วยได้รับยา PEG แลมบ์ดา ภายในสามวัน — คือพบผู้ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเหลือเพียง 1.9% เทียบกับ 3.1% ในกลุ่มยาหลอก อันหมายถึงสามารถลดความเสี่ยงลง 58%

อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ อย.สหรัฐ
จากการติดตามผลข้างเคียงจากการใช้ PEG แลมบ์ดา พบว่ามีน้อยมาก ไม่สามารถแยกได้ว่าอาสาสมัครคนใดได้รับยา PEG แลมบ์ดา และคนใดได้รับยาหลอก สรุปคือมี“ผลข้างเคียงไม่แตกต่างกัน”
“ความปลอดภัย” เป็นข้อกังวลเมื่อทำการใช้ “ยาอินเตอร์ฟีรอน” เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าอินเตอร์ฟีรอนสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย (cytokine storm) ที่เป็นอันตรายอาจถึงเสียชีวิตได้
ตัวอย่างเช่น อินเตอร์ฟีรอนอัลฟา (alfa-interferon) ซึ่งถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีและมะเร็ง พบว่าเป็นพิษต่อระบบอวัยวะต่างๆเนื่องจาก อินเตอร์ฟีรอนอัลฟา สามารถเข้าจับกับเซลล์ได้หลากหลายชนิดในร่างกาย
ต่างจาก PEG แลมบ์ดา ที่จะเข้าจับกับเซลล์เฉพาะในระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหารเท่านั้น ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันเกินเลยในเนื้อเยื่อประเภทอื่น รวมทั้งเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อหรือเซลล์ภูมิคุ้มกัน
ผลการทดลองของโครงการนี้นอกจากสามารถยืนยันประสิทธิผลของยา PEG แลมบ์ดา ในการต่อต้านโควิด-19 แล้วยังบ่งชี้ว่ายานี้ยังใช้ได้ผลกับไวรัสไข้หวัดใหญ่หรือ ไวรัส RSV (ไวรัสระบบทางเดินหายใจในระบบทางเดินหายใจหรือไม่) อีกด้วย
ขณะนี้ PEG แลมบ์ดา ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาขององค์การอาหารและยาของสหรัฐ คาดว่าอีกไม่นานคงจะมีให้ใช้กันแพร่หลายในโรงพยาบาล
สำหรับไทยเรามีสมุนไพรอย่างเช่น “ฟ้าทะลายโจร” เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการลดความรุนแรงของโรคโควิด-19
อ่านขาวเพิ่มเติม
- หมอยง แนะ การพิจารณา ‘ฉีดวัคซีนโค วิด’ ประจำปี หลังเปลี่ยนเป็น ‘โรคประจำฤดูกาล’
- ผลการศึกษาพบ ‘ยาโมลนูพิราเวียร์’ กระตุ้นการแพร่ระบาดของ ‘โควิดกลายพันธุ์’ ในไทยพบแล้ว 4 ราย
- ดร.อนันต์ เผยผลวิจัย ‘ติดเชื้อ BF.7+วัคซีนเชื้อตาย 3 เข็ม’ สร้างภูมิป้องกัน สายพันธุ์ ‘ไวรัสหนีภูมิ’ ได้ดีมาก