COVID-19

ผลการศึกษาพบ ‘ยาโมลนูพิราเวียร์’ กระตุ้นการแพร่ระบาดของ ‘โควิดกลายพันธุ์’ ในไทยพบแล้ว 4 ราย

ศูนย์จีโนมฯ เผยผลการศึกษาพบ ‘ยาโมลนูพิราเวียร์’ กระตุ้นการแพร่ระบาดของ ‘โควิดกลายพันธุ์’ ในไทยพบแล้ว 4 ราย

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics โดยระบุว่า มีผลการศึกษาพบว่า การใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ในผู้ป่วยโควิด อาจกระตุ้นการแพร่ระบาด และส่งผลให้ไวรัสกลายพันธุ์จำเพาะ แต่ต้องติดตามตอ่ไปว่า ไวรัสที่กลายพันธุ์ จะหลบภูมิและติดเชื้อรุนแรงหรือไม่ ดังนี้

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ร.พ. รามาธิบดีเริ่มติดตามการกลายพันธุ์จำเพาะบนจีโนมโควิด-19  อันเนื่องมาจากการใช้ยาต้านไวรัสโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir)  ประเทศไทยขณะนี้พบ 4 ราย

ยาโมลนูพิราเวียร์

ใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ แต่ต้านโคโรนาไวรัสได้ จึงนำมาใช้รักษาโควิด

โมลนูพิราเวียร์ (MoInupiravir) เป็นยาเม็ดชนิดรับประทาน ออกฤทธิ์ต้านไวรัส เดิมพัฒนาขึ้นเพื่อใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่

ต่อมาพบว่าโมลนูพิราเวียร์ สามารถออกฤทธิ์ต่อต้านไวรัสโคโรนาหลายชนิด เช่น โรคซาร์ส โรคเมอร์ส และเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19

หากให้โมลนูพิราเวียร์ ในช่วงระยะต้นของการติดเชื้อ จะลดความรุนแรงของโรคโควิด-19 ลดอัตราการป่วยหนัก ลดความเสี่ยงการเข้ารักษาในโรงพยาบาล และลดการเสียชีวิตลงได้ประมาณ 50% เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ที่ไม่ได้ยา

โมลนูพิราเวียร์ ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยาในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และประเทศไทยในปลายปี 2564 และในออสเตรเลียในต้นปี 2565

ตัวยาโมลนูพิราเวียร์ เป็นสารสังเคราะห์เลียนแบบโครงสร้างบางส่วนของอาร์เอ็นเอ ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมในไวรัสโคโรนา-2019 ทำให้จีโนมของไวรัสเกิดการกลายพันธุ์กระจัดกระจายจนไม่สามารถแบ่งตัวแพร่ระบาดใน(เซลล์)มนุษย์อีกต่อไปได้ (ภาพ1)

ยาโมลนูพิราเวียร์

พบการกลายพันธุ์ อันเนื่องมาจากโมลนูพิราเวียร์

แต่นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเริ่มกังวลว่า ในผู้ป่วยบางรายการรักษาด้วยโมลนูพิราเวียร์ อาจไม่สามารถกำจัดไวรัสโคโรนา-2019 ให้หมดไปจากร่างกายได้ภายใน 5 วัน ทำให้อาจกระตุ้นให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 กลายพันธุ์อันเนื่องมาจากโมลนูพิราเวียร์

ดร. ธีโอ แซนเดอร์สัน จากสถาบันฟรานซิส คริก ลอนดอน และทีมวิจัยจากสหราชอาณาจักรได้โพสต์บทความบนเซิร์ฟเวอร์ของ “medRxiv” ในเดือนมกราคม 2566 (ยังไม่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ) แสดงให้เห็นว่าจากการตรวจกรองรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมกว่า 13 ล้านตัวอย่าง จากฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID” ในปี 2565 ที่มีการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย

พบรหัสพันธุกรรมของโควิด-19 จากหลายประเทศมีการกลายพันธุ์ในลักษณะที่จำเพาะ ที่บ่งชี้ว่าผู้ติดเชื้อได้รับประทานโมลนูพิราเวียร์ โดยพบการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มเล็ก(cluster) การกลายพันธุ์จำเพาะที่ว่าคือมีอัตรา G-to-A และ C-to-T สูงขึ้นเทียบกับผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้ใช้โมลนูพิราเวียร์ในการรักษา (ภาพ2)

ยาโมลนูพิราเวียร์

การกลายพันธุ์ในลักษณะจำเพาะ (มีอัตรา G-to-A และ C-to-T สูงขึ้น) พบในประเทศที่มีการอนุญาตใช้โมลนูพิราเวียร์ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และไทย  มากกว่าประเทศที่ไม่อนุมัติให้ใช้โมลนูพิราเวียร์ เช่น ฝรั่งเศส และแคนาดา อย่างมีนัยสำคัญ (ภาพ3)

ยาโมลนูพิราเวียร์

ประเทศที่มีการอนุมัติให้ใช้ยาโมลนูพิราเวียร์

  • ออสเตรเลีย พบการกลายพันธุ์จำเพาะ (อันเกิดจากการใช้โมลนูพิราเวียร์) 97 ราย จากตัวอย่าง(ที่อัปโหลดไว้บนฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID”) ทั้งสิ้น 119,194 ราย
  • สหรัฐอเมริกา พบการกลายพันธุ์จำเพาะ 60 ราย จากตัวอย่างทั้งสิ้น 1,911,997 ราย
  • สหราชอาณาจักร พบการกลายพันธุ์จำเพาะ 23 ราย จากตัวอย่างทั้งสิ้น 1,218,724 ราย
  • ญี่ปุ่น พบการกลายพันธุ์จำเพาะ 20 ราย จากตัวอย่างทั้งสิ้น 321,520 ราย
  • เยอรมนี พบการกลายพันธุ์จำเพาะ 10 ราย จากตัวอย่างทั้งสิ้น 503,014 ราย
  • อิสราเอล พบการกลายพันธุ์จำเพาะ 9ราย จากตัวอย่างทั้งสิ้น 107,477 ราย
  • ไทย พบการกลายพันธุ์จำเพาะ 4 ราย จากตัวอย่างทั้งสิ้น 21,459ราย

ฯลฯ

4 6

ประเทศที่ไม่อนุมัติให้ใช้ยาโมลนูพิราเวียร์

  • ฟินแลนด์ พบการกลายพันธุ์จำเพาะ 0 ราย จากตัวอย่างทั้งสิ้น 17,978 ราย
  • ฝรั่งเศส พบการกลายพันธุ์จำเพาะ 0 ราย จากตัวอย่างทั้งสิ้น 313,680 ราย

ฯลฯ (ภาพ3)

เชื้อโควิดกลายพันธุ์จำเพาะพบมากในผู้สูงอายุ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะรับประทานโมลนูพิราเวียร์มากกว่าคนหนุ่มสาวและคนวัยกลางคน  และในออสเตรเลียซึ่งมีโมลนูพิราเวียร์ไว้ใช้ในบ้านพักคนชราพบไวรัสกลายพันธุ์จำเพาะถึง 25 ตำแหน่ง โดยพบการแพร่ติดเชื้อในกลุ่มคนอย่างน้อย 20 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุอยู่ในวัย 80 และ 90 ปี (ภาพ4)

สรุปได้ว่าการรักษาด้วยโมลนูพิราเวียร์ทำให้ไวรัสเกิดกลายพันธุ์ไปอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่จีโนมจะเสียหายไม่สามารถระบาดสืบทอดลูกหลานต่อไปได้ แต่ยังมีส่วนน้อยที่แม้จีโนมมีการกลายพันธุ์ไปมาก แต่ยังสามารถแพร่ระบาดได้ในวงจำกัด

ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าโควิด-19 กลายพันธุ์จากโมลนูพิราเวียร์ จะหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันหรือมีการติดเชื้อรุนแรงหรือไม่

ข้อควรระวัง ผู้วิจัยใช้การสันนิษฐานว่าการกลายพันธุ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วยโมลนูพิราเวียร์ แต่ข้อมูลจากฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID” ส่วนหนึ่งจะไม่มีข้อมูลว่าผู้ติดเชื้อโควิดรักษาด้วยยาต้านไวรัสหรือไม่ และเป็นประเภทใด

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo