ศูนย์จีโนมฯ เฉลย ทำไม? WHO ยังจัดให้ ‘โควิด’ เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ ต่อไปในปี 66
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics อธิบายว่า ทำไมองค์การอนามัยโลกยังจัดให้โควิด-19 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศต่อไปในปี 2566 อีกระยะหนึ่ง?
องค์การอนามัยโลกแถลงเมื่อวันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2566 ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก (Pandemic) ยังคงถือว่าอยู่ใน “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (global public health emergency)” ต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่ก็มีสัญญาณที่ดีอย่างต่อเนื่อง เชื่อได้ว่าสามารถยกเลิกมาตรการดังกล่าวได้ในภายในปี 2566 เพื่อปรับเข้าสู่ภาวะของโรคประจำถิ่นได้ (Endemic) โดยจะมีการพิจารณายกเลิกมาตรการดังกล่าวอีกครั้งใน 3 เดือนข้างหน้า
อนึ่ง องค์การอนามัยโลกได้จัดให้โควิด-19 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2563 (ภาพ1)
ในขณะที่ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ตั้งเป้าที่จะยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับโควิด-19 ภายในประเทศที่กำลังดำเนินอยู่ ให้สิ้นสุดลงในวันที่ 11 พฤษภาคม 2566 โดยลดระดับการแพร่ระบาดในฐานะวิกฤตระดับชาติ ปรับเป็นการบริหารจัดการไวรัสโควิด-19 เหมือนโรคทางเดินหายใจตามฤดูกาลแทน
ขยายเวลาให้การระบาดของโควิด ยังเป็นภาวะฉุกเฉินระหว่างประเทศ
สาเหตุสำคัญที่องค์การอนามัยโลกต้องขยายเวลาให้การระบาดของโควิด-19 ยังอยู่ในภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะยังมีรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า 170,000 คน ในช่วง 8 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในประเทศจีน
ซึ่งคาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงจากโควิดทั่วโลกมากกว่านี้หลายเท่าตัว เพราะปัจจุบันหลายประเทศได้ลดการตรวจ PCR และการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสโควิด-19 เปลี่ยนมาเป็นการตรวจกรองการติดเชื้อโควิดด้วยตนเองด้วย ATK ทำให้องค์การอนามัยโลกขาดข้อมูลสำคัญที่จะระบุถึงจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ได้อย่างถูกต้อง
ชนิดของสายพันธุ์หลักในแต่ละประเทศ
อีกทั้งโควิดยังมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง สายพันธุ์ย่อยหลายสายพันธุ์ได้ระบาดเพิ่มจำนวน กลายเป็นสายพันธุ์หลักในหลายประเทศ เช่น
- ประเทศจีน สายพันธุ์หลักคือ BA.5.2 สายพันธุ์รองคือ BF.7 (ภาพ2)
- ประเทศสหรัฐอเมริกา สายพันธุ์หลักคือ XBB.1.5 สายพันธุ์รองคือ BQ.1.1 (ภาพ3)
- ประเทศไทย สายพันธุ์หลักคือ BN.1.3 (ภาพ4)
- ประเทศกัมพูชา สายพันธุ์หลักคือ BN.1.2 (ภาพ5)
- ประเทศสิงคโปร์ สายพันธุ์หลักคือ XBB.1 (ภาพ6)
- ประเทศฟิลิปปินส์ สายพันธุ์หลักคือ BA.2.3.20 (ภาพ7)
- ประเทศญี่ปุ่น สายพันธุ์หลักคือ BF.5 (ภาพ8)
- ประเทศรัสเซีย สายพันธุ์หลักคือ CL.1 (ภาพ9)
- ประเทศนิวซีแลนด์ สายพันธุ์หลักคือ CH.1.1(ภาพ10)
- ประเทศออสเตรเลีย สายพันธุ์หลักคือ XBF (ภาพ11)
โดยแต่ละสายพันธุ์มีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่แตกต่างกัน (ภาพ12) มีความต้านทานต่อยาแอนติบอดีสร้างภูมิสำเร็จรูปไม่เหมือนกัน(ภาพ13) แต่เป็นที่น่ายินดีที่ยังไม่พบว่าโควิดสายพันธุ์ไหนดื้อต่อยาต้านไวรัสเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) ซึ่งเป็นยาฉีด ยาต้านไวรัสโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) และแพ็กซ์โลวิด (Paxlovid) ซึ่งเป็นยาเม็ด (ภาพ14) แต่ต้องบริหารจัดการใช้ยาต้านโควิดอย่างระมัดระวังมิให้เกิดการดื้อยาเหมือนไวรัสเอชไอวีในอดีต
WHO เฝ้าติดตามโควิด 3 เดือนจากนี้
ดังนั้นในช่วง 3 เดือนจากนี้ องค์การอนามัยโลกจะเฝ้าติดตามโควิด-19 ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม (Genomic Surveillance) ทั้งจากผู้ติดเชื้อและจากแหล่งน้ำเสียใกล้ชุมชนเพื่อประเมินล่วงหน้าว่าไวรัสโควิด-19 กำลังลดความรุนแรงในการแพร่ระบาดไปทั่วโลก (Pandemic) กลายมาเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) ด้วยการชะลอการกลายพันธุ์บนจีโนมและลดจำนวนสายพันธุ์ย่อยที่อุบัติขึ้นมาใหม่ลงอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่
องค์การอนามัยโลกคาดหวังว่าภายในปีนี้ โลกจะเปลี่ยนไปสู่ระยะใหม่ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงต่ำสุด และระบบสุขภาพของแต่ละประเทศสามารถรองรับการระบาดของโควิด-19 ได้เข้าสู่ภาวะโรคประจำถิ่นด้วยการบูรณาการที่ยั่งยืน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ดร.อนนต์ เผยผลวิจัย ‘ฉีดวัคซีน+ติดเชื้อ’ ป้องกัน ‘การติดเชื้อในโพรงจมูก’ อย่างน้อย 7 เดือน
- หมอยง ชี้บทพิสูจน์ประสิทธิผล ‘วัคซีนเชื้อตาย-mRNA’ คือข้อมูลเปรียบเทียบ ระหว่าง จีนและอเมริกา
- ‘โอไมครอน CH.1.1’ สายพันธุ์น่ากังวล หลบภูมิจากวัคซีน mRAN 3 เข็ม ก่อให้เกิดอาการอักเสบรุนแรง