COVID-19

ดร.อนนต์ เผยผลวิจัย ‘ฉีดวัคซีน+ติดเชื้อ’ ป้องกัน ‘การติดเชื้อในโพรงจมูก’ อย่างน้อย 7 เดือน

ดร.อนนต์ เผยผลวิจัย ‘ฉีดวัคซีน+ติดเชื้อ’ ป้องกัน ‘การติดเชื้อในโพรงจมูก’ อย่างน้อย 7 เดือน

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana  ระบุว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนและติดเชื้อตามธรรมชาติ จะสร้างสร้างแอนติบอดีในทางเดินหายใจส่วนบน ได้สูงกว่าผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อ และแอนดิบอดีจะคงอยู่ราว 7 เดือน ข้อความดังนี้

ฉีดวัคซีน

ข้อมูลชิ้นนี้เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet Infectious Diseases ระบุว่า ตัวอย่างที่ฉีด วัคซีนแล้วไปติดเชื้อ BA.1 หรือ BA.2 ตามธรรมชาติมา จะสามารถสร้างแอนติบอดีในทางเดินหายใจส่วนบน (mucosal IgA, mIgA) ได้สูงกว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนมาแต่ไม่เคยติด

สาเหตุเนื่องจากไวรัสเข้าไปติดเซลล์ในจมูก ซึ่งมีเซลล์ที่สามารถกระตุ้นการสร้างแอนติบอดีชนิดนี้ เพื่อยับยั้งการติดเชื้อของไวรัสได้ ในขณะที่วัคซีนแบบฉีดเข้ากล้ามไม่สามารถสร้างแอนติบอดีในจมูกได้ ทำให้การป้องกันการติดเชื้อในจมูกเกิดขึ้นได้ยาก

ฉีดวัคซีน

แอนติบอดีในโพรงจมูกมีปริมาณสูง

ทีมวิจัยเก็บข้อมูลระดับ mIgA ของผู้ติดเชื้อตามธรรมชาติมาเป็นเวลา 7 เดือน พบว่า ระดับของ mIgA ยังมีสูงพอที่จะตรวจหาพบได้

ซึ่งทีมวิจัยสรุปว่า ผู้ที่มีภูมิจากวัคซีนอยู่ก่อนแล้วถ้าไปติดเชื้อโอไมครอนตามธรรมชาติมา แอนติบอดีที่จะป้องกันการติดเชื้อในจมูก สามารถมีอยู่ในปริมาณที่สูงได้ไม่น้อยกว่า 7 เดือน

ฉีดวัคซีน

ทีมวิจัยเปรียบเทียบจำนวนของตัวอย่างที่ไปติดเชื้อ BA.5 ในช่วงเวลา 31 สัปดาห์ พบว่า กลุ่มที่มีภูมิ mIgA จากการติดเชื้อ BA.1 หรือ BA.2 มีอัตราการติดเชื้อ BA.5 ซ้ำน้อยกว่าผู้ที่ไม่เคยติดมาก่อนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ว่าปริมาณ mIgA ในจมูกมีส่วนสำคัญในการลดการติดเชื้อซ้ำได้

ข้อมูลนี้สนับสนุนแนวคิดว่า ผู้ที่ได้ภูมิจากธรรมชาติมายังไม่จำเป็นต้องไปกระตุ้นด้วยวัคซีนอย่างน้อย 8 เดือน รอไปยาวๆก่อนให้ร่างกายพร้อมได้รับการกระตุ้นดีกว่าครับ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo