องค์การเภสัชกรรม ผลิตยา ‘โมลนูพิราเวียร์’ รักษาโควิดได้เองแล้ว พร้อมกระจายบริการประชาชน
ดร.ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด 19 ที่ผ่านมา องค์การเภสัชกรรมได้วิจัยและพัฒนายาสำหรับนำมาใช้กับผู้ป่วยชาวไทยเป็นผลสำเร็จ จากแนวทางการรักษาของประเทศไทยในการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ และไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ตามแนวทางการรักษาโรคโควิด 19
ผลิตเองได้แล้ว ภายใต้ชื่อ ยาโมโนเวียร์
ล่าสุดองค์การเภสัชกรรมได้พัฒนายาต้านไวรัสโควิด-19 รายการใหม่ขึ้นสำเร็จ ภายใต้ชื่อ ยาโมโนเวียร์ หรือชื่อสามัญทางยาคือ ยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ในรูปแบบแคปซูล ขนาด 200 มิลลิกรัม
ยาโมลนูพิsาเวียร์ เป็นรายการยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ ตามแนวทางการรักษาของประเทศไทย เดิมต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด
ปัจจุบันการใช้ยาโมลนูพิsาเวียร์ ประมาณวันละ 1-2 แสนแคปซูล ที่ผ่านมาองค์การเภสัชกรรมได้จัดหาและสำรองยาอย่างเพียงพอ และขณะนี้เริ่มผลิตยาโมโนเวียร์แล้ว เพื่อให้เกิดความมั่นคง และผู้ป่วยเข้าถึงยาได้มากขึ้น
พร้อมกระจายยาให้บริการประชาชน
องค์การเภสัชกรรมได้ดำเนินการวิจัยพัฒนาและผลิตยาโมลนูพิsาเวียร์ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากต่างประเทศมาใช้ในการพัฒนาสูตรตำรับ จนขยายขนาดการผลิตในระดับอุตสาหกรรม
ยาดังกล่าวมีคุณภาพ ผ่านเกณฑ์มาตรฐานสากลและมีผลการศึกษาชีวสมมูล (Bioequivalence study) ซึ่งเป็นการศึกษาระดับยาในเลือดเทียบเท่ายาต้นแบบ
โดยองค์การเภสัชกรรมได้เตรียมความพร้อม ในการเริ่มผลิตและกระจายยา ไปยังสถานพยาบาลภาครัฐ และเอกชน ปลายเดือนธันวาคมนี้
ความสำเร็จในการวิจัยพัฒนายาโมลนูพิsาเวียร์ ครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นตั้งใจขององค์การเภสัชกรรม ที่จะส่งมอบความใส่ใจในการดูแลสุขภาพที่ดีแก่ประชาชนไทย
และสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยและมีใบสั่งยาจากแพทย์ สามารถซื้อยาได้ที่ร้านยาขององค์การเภสัชกรรมทั้ง 8 สาขา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GPO Call Center 1648
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ภูมิคุ้มกันแบบผสม’ คืออะไร? เราควรฉีด ‘เข็มกระตุ้น’ ต่อไปหรือไม่? ที่นี่มีคำตอบ!
- สธ. รณรงค์ฉีดวัคซีน ‘LAAB’ กลุ่มเสี่ยง ในรพ.ราชวิถี และอีก 35 รพ. สังกัดกรมการแพทย์ ลดเสี่ยงเสียชีวิต
- ผลวิจัยชี้ ฉีด ‘วัคซีน mRNA’ หลายเข็ม มีโอกาส ‘ติดเชื้อซ้ำ’ สูง ได้รับเข็มกระตุ้นวัคซีนรุ่น 2 กระตุ้นภูมิป้องกันได้แค่ 30%
