‘ภูมิคุ้มกันแบบผสม’ คืออะไร? เราควรฉีด ‘เข็มกระตุ้น’ ต่อไปหรือไม่? ที่นี่มีคำตอบ
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันแบบผสม ซึ่งนับเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะมี และะเราควรฉีดเข็มกระตุ้นต่อไปหรือไม่ ข้อความดังนี้
ภูมิคุ้มกันแบบผสม (hybrid immunity) คืออะไร?
นักวิทยาศาสตร์ใช้คำว่า “ภูมิคุ้มกันแบบผสม” เพื่อสื่อถึงภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากสองแหล่ง: การติดเชื้อตามธรรมชาติและการฉีดวัคซีนเต็มรูปแบบ (ครบโดส)
ภูมิคุ้มกันแบบผสม ภูมิคุ้มกันดีที่สุดเท่าที่เรามี
แพทย์หญิง สุมยา สวามินาธาน (Soumya Swaminathan) อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก เชี่ยวชาญด้านวัณโรคและเอชไอวีได้กล่าวว่า “ภูมิคุ้มกันแบบผสม” ต่อโควิด-19 จะเป็นภูมิคุ้มกันชนิดที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะมี
ประชาชนที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่เคยติดเชื้อโควิด-19 และไม่ได้รับการฉีดวัคซีนมาก่อน เมื่อได้รับเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (SARS-CoV-2) ระบบภูมิคุ้มกันของเราจะผลิตแอนติบอดีเข้าจับและทำลายกับทันที
นอกจากนี้ ร่างกายเรายังจะกระตุ้น T เซลล์เข้าจัดการกับเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส รวมทั้งพัฒนา ‘เซลล์ความทรงจำ (memory cell)’ ขึ้นด้วยเพื่อป้องกันการโจมตีของไวรัสโควิดในครั้งต่อไปให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ในทางกลับกันการฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อโควิด-19 จะเป็นการนำไวรัสที่ตายแล้วหรือส่วนที่ตายแล้ว เช่น “โปรตีนหนาม” ฉีดเข้าสู่ร่างกาย กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราตอบสนองต่อไวรัสในลักษณะเช่นเดียวกับการติดเชื้อตามธรรมชาติ
ภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากทั้งวัคซีน และที่เกิดจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ เมื่อรวมกันจะเกิดเป็น “ภูมิคุ้มกันแบบผสม”
ผลการวิจัยที่เผยแพร่ใน The Lancet เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ระบุว่า ร่างกายของผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนและจากนั้นได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส จะมีการสร้างแอนติบอดีต่อโควิด-19 ในระดับสูงมาก สูงกว่าผู้ที่ไม่เคยติดเชื้ออย่างมีนัยสำคัญ
https://www.thelancet.com/…/PIIS2665-9913(21…/fulltext
ภูมิคุ้มกันแบบผสม สู้โอไมครอน BQ.1.1 ได้
ล่าสุดทีมวิจัยจากแคนาดาได้พบว่าภูมิคุ้มกันแบบผสม จากวัคซีนเอ็มอาร์เอนเอร่วมกับการติดเชื้อโอไมครอนตามธรรมชาติจะทำให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งขึ้นต่อโอมิครอน BQ.1.1
อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์กำลังมองหาคำตอบว่า ภูมิคุ้มกันแบบผสมจะยืนยาวแค่ไหน และสามารถป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่จะอุบัติขึ้นในอนาคตได้ดีเพียงใด
เราคงต้องเฝ้าติดตามเหตุการณ์ในประเทศจีน ที่มีการระบาดใหญ่ของโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยที่อุบัติขึ้นใหม่ เช่น BF.7 เนื่องจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ทำให้ประชากรจีนส่วนใหญ่ได้รับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนเพียงอย่างเดียว โดยมีมาตรการที่เข้มงวดป้องกันไม่ให้ประชาชนมีการติดเชื้อตามธรรมชาตินั้น จะทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากขึ้นหรือน้อยลงเท่าใด จากการระบาดใหญ่ของโอไมครอนเกิดขึ้นในขณะนี้ เมื่อเทียบกับประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ ได้รับทั้งวัคซีนและมีการติดเชื้อตามธรรมชาติร่วมด้วย จนเกิดเป็นภูมิคุ้มกันแบบผสมในประชากรมากกว่า 90%
ควรฉีดเข็มกระตุ้มต่อไปหรือไม่?
ล่าสุดมีคำถามเกิดขึ้นว่าเราจะยังฉีดวัคซีน (เอ็มอาร์เอ็นเอ) เข็มกระตุ้นต่อไปหรือไม่ เพราะมีงานวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญหลายท่านที่ทยอยตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ แสดงให้เห็นว่า “ยิ่งฉีดวัคซีนโควิดหลายเข็มมากเท่าไรจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ”
https://jamanetwork.com/…/jama…/article-abstract/2794886
หากพิจารณาในช่วงสองปีที่ผ่านมา ที่มีการรณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปทั่วโลก ส่งผลให้อัตราการติดเชื้ออย่างรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวใน รพ. หรือเสียชีวิต รวมทั้งการเป็นลองโควิด (เหมือนในช่วงปีแรกของการระบาด) ลดลงเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีการติดเชื้อโควิดก่อนหรือหลังการฉีดวัคซีนจะเกิดภูมิคุ้มกัน แบบผสม ต่อสู้กับโควิดที่สูงกว่าผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อตามธรรมชาติอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลเหล่านี้อาจช่วยประกอบการตัดสินใจว่าเราควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (booster shots) หรือไม่
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- สธ. รณรงค์ฉีดวัคซีน ‘LAAB’ กลุ่มเสี่ยง ในรพ.ราชวิถี และอีก 35 รพ. สังกัดกรมการแพทย์ ลดเสี่ยงเสียชีวิต
- ผลวิจัยชี้ ฉีด ‘วัคซีน mRNA’ หลายเข็ม มีโอกาส ‘ติดเชื้อซ้ำ’ สูง ได้รับเข็มกระตุ้นวัคซีนรุ่น 2 กระตุ้นภูมิป้องกันได้แค่ 30%
- หมอยง ชี้จะ ‘สู้โควิด’ ต้องวัคซีน 3 เข็ม แต่กลุ่มเปราะบาง ต้อง 4 เข็มขึ้นไป