COVID-19

ทั่วโลกจับตา ‘โอไมครอน CH.1.1’ ที่จะมาแทนที่ BA.5 และ BA.2.75 พบในไทยแล้ว 9 ราย

4 ปัจจัย ทั่วโลกจับตา ‘โอไมครอน CH.1.1’ ที่จะมาแทนที่ BA.5 และ BA.2.75 พบในไทยแล้ว 9 ราย

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics เรื่องการพบเจอ โอไมครอน ‘CH.1.1’ ที่จะมาแทนที่ BA.5 และ BA.2.75 พบในไทยแล้ว 9 ราย รวมถึง เรื่องการติดตามโอไมครอนที่อาจจะกลายพันธุ์ ก่อให้เกิดความรุนแรง ดีงนี้

“10 ประโยชน์”จากการศึกษาธรรมชาติการกลายพันธุ์ไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม

“4 ปัจจัย”ที่น่ากังวลต่อโอมิครอน “CH.1.1” หนึ่งในสมาชิก “ซุปโอไมครอน”, ลูกของ BA.2.75

“ปัญหา”เชื้อโควิดดื้อต่อยาต้านไวรัส (Anti-SARS-CoV-2 drugs) ที่ต้องเร่งแก้ไข

“องค์การอนามัยโลก” แถลงเตือนอาจเกิดสายพันธุ์ใหม่ที่รุนแรงหากการ์ดตก ถึงแม้ว่าประชากรโลกกว่า 90% จะมีภูมิคุ้มกันโควิด-19 แล้วก็ตาม

โอไมครอน CH.1.1

จับตา CH.1.1 ลูก BA.2.75ที่จะมาแทนที่ BA.5 พบในไทยแล้ว 9 ราย

การติดตามธรรมชาติการกลายพันธุ์ไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจ ากตัวอย่างผู้ติดเชื้อทั้งในประเทศและระหว่างทวีป อัปโหลดไว้บนฐานข้อมูลโควิดโลก “กิสเสด(GISAID)” จำนวนกว่า “14 ล้านราย” ในขณะนี้ชี้ให้เห็นถึงการอ่อนกำลังลงของโอไมครอนรุ่นที่หนึ่ง “BA.4 และ BA.5” อย่างต่อเนื่อง

พร้อมเผยให้เห็นถึงการแข่งขัน ระหว่างสายพันธุ์โอไมครอนรุ่นที่สอง BA.2.75* (BN.1, CH.1.1), รุ่นที่สาม BQ.1*, และรุ่นลูกผสม XBB* และ XBF รวมถึงผลกระทบที่(อาจ)จะเกิดขึ้นในปีหน้า 2566 ตำแหน่งกลายพันธุ์บนโปรตีนหนามส่วนหนึ่ง ทำนายได้ว่าจะก่อความรุนแรงหรือไม่ ในขณะที่การกลายพันธุ์อีกหลายตำแหน่งไม่อาจคาดเดาว่ าจะลดหรือเพิ่มความรุนแรงในการติดเชื้อ

(ภาพ1)

โอไมครอน CH.1.1

สำหรับประเทศไทยหลายองค์กรทั้งภาครัฐ NGO และเอกชนได้ร่วมกันถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งจีโนมแล้วกว่า 32,938 ราย (3/12/2565) ได้ตรวจพบโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยเกือบทุกสายพันธุ์ที่ทั่วโลกพบ กล่าวคือ BA.2.75* (BA.2.75, BA.2.75.2,BA.2.75.5), XBB* (XBB, XBB.1, XBB.1.1)  BQ.1*(BQ.1, BQ.1.1), BN.1, BF.7, XBC, และ CH.1.1

(ภาพ2)

โอไมครอน CH.1.1

ที่ควรจับตาในไทยล่าสุดคือ “CH.1.1” ซึ่งเป็นรุ่นลูกของ BA.2.75 เนื่องจากในประเทศไทยโอไมครอน CH.1.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage)  เหนือกว่า BA.5  ประมาณ 135% และเหนือกว่า BA.2.75* ประมาณ 150% ทำให้มีแนวโน้มที่อาจระบาดมาแทนที่ BA.5 และ BA.2.75 ได้ ขณะนี้พบ“CH.1.1” ในไทยแล้ว 9 ราย 

(ภาพ3)

โอไมครอน CH.1.1

4 ปัจจัยที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เริ่มกังวล สายพันธุ์ย่อย โอไมครอน CH.1.1

มี 4 ปัจจัยที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกเริ่มกังวลกับโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย CH.1.1 ซึ่งพบครั้งแรกในประเทศออสเตรียคือ

  1. พบตำแหน่งกลายพันธุ์บริเวณส่วนโปรตีนหนาม “P681R” ของโอไมครอน CH.1.1 เช่นเดียวกับที่พบในสายพันธุ์เดลตา ซึ่งอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อมีอาการรุนแรงเช่นเดียวกับสายพันธุ์เดลตา เนื่องจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่า ส่วนหนามที่กลายพันธุ์ไปสามารถจับกับผิวเซลล์จากอวัยวะอื่นได้หลากหลาย นอกเหนือไปจากเซลล์ปอด ทั้งยังก่อให้เกิดการหลอมรวมของเซลล์ที่อยู่ใกล้ชิดติดกันเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ (fusogenicity) ดึงดูดให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้ามาทำลายเกิดอาการอักเสบที่รุนแรงขึ้น
  2. พบการกลายพันธุ์ในส่วนโปรตีนหนาม R346T, K444T, L452R, และ F486S ไปคล้ายกับโอไมครอนรุ่นที่ 3 “BQ.1.1”
  3. พบการระบาดของโอไมครอน CH.1.1 ได้อย่างรวดเร็ว โดยมีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) เหนือกว่า BQ.1.1 ที่ทั่วโลกถือว่าระบาดได้รวดเร็วที่สุดในปัจจุบันถึง 31% (ภาพ4)
  4. เกิดการกลายพันธุ์บนโปรตีนหนามในส่วนของ N-terminal domain (NTD), “NTD” บนส่วนหนามแหลมถือว่าเป็นบริเวณสำคัญ (hot spot) ที่แอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นจากการกระตุ้นด้วยการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อตามธรรมชาติ จะเข้าจับและทำลายไวรัส หากโปรตีนหนามบริเวณ “NTD” กลายพันธุ์ไปจะส่งเสริมให้ไวรัสหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดียิ่งขึ้น

โอไมครอน CH.1.1

โอไมครอน CH.1.1 พบแล้วหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย

ข้อมูลจากฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก “กิสเสด” พบโอไมครอน CH.1.1 ในหลายประเทศโดยเริ่มต้นการระบาดมาจากประเทศออสเตรีย

  • ออสเตรีย จำนวน 150 ราย ติดเป็น 0.209%
  • ประเทศอังกฤษ จำนวน 137 ราย คิดเป็น 0.088%
  • ออสเตรเลีย จำนวน 129 ราย คิดเป็น 0.246%
  • สหรัฐ 74 ราย คิดเป็น 0.011%
  • เดนมาร์ก จำนวน 54ราย คิดเป็น 0.060%
  • ฮ่องกง จำนวน 27 ราย คิดเป็น 0.516%
  • ญี่ปุ่น จำนวน 26 ราย คิดเป็น 0.017%
  • เกาหลีใต้ จำนวน 20 ราย คิดเป็น 0.051%
  • เนเธอร์แลนด์ จำนวน 17 ราย คิดเป็น 0.070%
  • อินเดีย จำนวน 16 ราย คิดเป็น 0.047%
  • ลิกเตนสไตน์ จำนวน 13 ราย คิดเป็น 3.171%
  • อิสราเอล จำนวน 11 ราย คิดเป็น 0.020%
  • สิงคโปร์ จำนวน 10 ราย คิดเป็น 0.110%
  • ประเทศไทย จำนวน 9ราย คิดเป็น 0.188%

ฯลฯ

5

10 ประโยชน์ จากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม

จากการติดตามธรรมชาติการกลายพันธุ์ไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมมาร่วม 3 ปี ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกสรุปว่า

  1. จำเป็นต้องติดตามกลุ่มโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย (omicron soup variants) ที่อุบัติขึ้นและระบาดพร้อมกันมาตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2565 เพราะหลายสายพันธุ์ย่อยมีการกลายพันธุ์โดยเฉพาะบริเวณโปรตีนหนามที่ “อาจ” ก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น เช่น BA.2.75, BQ.1,BN.1, BF.7,CH.1.1 ฯลฯ (ภาพ1)
  2. ต้องกลับมาเฝ้าระวังไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์เก่าหลายสายพันธุ์ เช่น สายพันธุ์หวู่ฮั่นดั้งเดิม, อัลฟา, เบตา, เดลตา, แกมมา ฯลฯ ที่พบหมุนเวียนอยู่ ในตัวผู้ติดเชื้อบางกลุ่ม เสมือนแหล่งเก็บกัก (reservoir) เช่นผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ประกอบกับมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เช่น การ ลด ละ เลิกการสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ การเว้นระยะห่างทางกายภาพ และการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ทำให้สายพันธุ์ดั้งเดิมที่สูญหายไปแล้วอาจกลับมาปรากฏตัวได้อีกครั้ง
  3. ไม่ประมาทต่อการเกิดสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างไวรัสตระกูลเก่า (หวู่ฮั่นดั้งเดิม, อัลฟา, เบตา, เดลตา) กับไวรัสตระกูลใหม่ (โอไมครอน) เช่น เดลตาครอน XBC (ภาพ5)
  4. ติดตามการเกิดสายพันธุ์ลูกผสมระหว่างสายพันธุ์ย่อยในตระกูลเดียวกัน (omicron soup variants) เช่น โอไมครอน XBB ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่าง โอไมครอน BJ.1 x BA.2.75 (ภาพ6)6 1
  5. พยายามควบคุมการแพร่ระบาดจากคนไปสู่สัตว์ อันจะก่อให้เกิดเป็นแหล่งเก็บกักโรค(reservoir) และเพาะบ่มให้เกิดไวรัสกลายพันธุ์ในสัตว์ที่ปราศจากแอนติบอดีมายับยั้ง และแพร่กลับมาติดต่อสู่คนอีกครั้ง ซึ่งเริ่มเห็นบ้างในกลุ่มกวางในแคนาดาและอเมริกาที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากคน จากนั้นพบมีการแพร่จากกวางกลับมาสู่คน (รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.facebook.com/CMGrama/posts/pfbid0KdaqdbzhKHBqGV9t7Bx6pVTwjTz2NBMyuAWruEyfTp1zcHUcF3zc9tMARpYyPh1Zl)
  6. การตรวจวินิจฉัยด้วย ATK ยังใช้ได้ดีเนื่องจากเป็นการตรวจส่วนประกอบไวรัสหลายส่วนนอกเหนือไปจากโปรตีนหนาม
  7. ต้องหมั่นตรวจสอบประสิทธิภาพการตรวจจับไวรัสของชุดตรวจ PCR เนื่องจากไวรัสมีการกลายพันธุ์บนสายจีโนมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความไว (sensitivity) และความจำเพาะ (specificity) ในการตรวจจับไวรัสในสิ่งส่งตรวจของ PCR อาจลดลง
  8. ไม่ควรลดการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งจีโนม เพราะจะให้เราขาดข้อมูลของสายพันธุ์ที่กำลังระบาดในบ้านเราแบบเรียลไทม์ ซึ่งสำคัญอย่างมากต่อการควบคุม ป้องกัน และรักษาโรคโควิด7
  9. เฝ้าระวังเชื้อดื้อยาทั้งจากยาเม็ดรับประทานและยาฉีด ด้วยการตรวจรหัสพันธุกรรม (genotyping & sequencing) เพื่อตรวจสอบสายพันธุ์และตำแหน่งกลายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับการดื้อยา (anti-SARS-CoV-2 drugs) (ภาพ7)
  10. จัดลำดับโควิดสายพันธุ์ย่อยที่กำลังระบาด หรือมีแนวโน้มจะระบาดภายในประเทศ โดยอาศัยข้อมูลรหัสพันธุกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกัน ด้านวัคซีนและยาต้านไวรัสให้สอดคล้องกับสายพันธุ์ที่ระบาด (ภาพ8)

8

WHO เตือน ประชากรโลกการ์ดตก อาจเกิดสายพันธุ์ใหม่ที่รุนแรง

เมื่อวันศุกร์ (2/12/2565) ที่ผ่านมา นพ. เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ได้กล่าวเตือนว่า การผ่อนคลายมาตรการในการจัดการกับ COVID-19 ในปีนี้อาจสร้างเงื่อนไขให้เกิดไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ใหม่ที่อันตรายร้ายแรงอุบัติขึ้นมาได้ ถึงแม้ว่าประชากรโลกกว่า 90% จะมีภูมิคุ้มกันโควิด-19 แล้วก็ตาม

https://www.youtube.com/watch?v=UW6W1UWqKoM

(ภาพ9)

9

ดังนั้นปลายปีนี้ต่อปีหน้า 2566 ยังคงต้องระมัดระวังสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้เกิดโรค และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต (COVID genomic surveillance) อย่างเข้มข้น พร้อมไปกับการเรียนรู้ผลกระทบระยะยาว ที่ประชาชนสัมผัสกับไวรัส SARS-CoV-2 อย่างต่อเนื่องมากว่า 3 ปีที่จะชัดเจนมากขึ้น รวมถึงผลกระทบของการติดเชื้อซ้ำ แม้จะฉีดวัคซีนป้องกัน (breakthrough infection) ที่เรียกว่า ” ไม่รุนแรง (mild)” รวมถึงประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะวัคซีนสองสายพันธุ์ (bivalent vaccine)

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo