จบกันไปแล้วกับละครน้ำดี “กรงกรรม” วานนี้ออกอากาศเป็นตอนสุดท้าย เนื้อเรื่องนอกจากชวนตามจนคนติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะคนรุ่นแม่ที่ยก “ย้อย” กลายเป็นแม่ไอดอล หลายคนเอาย้อยเป็นแม่แบบในการดูแลลูกเต้า แต่บางเรื่องคงเอาย้อยเป็นตัวอย่างไม่ได้ นั่นคือโรคที่ย้อยเป็น “เบาหวาน”
“ย้อย” สะท้อนสถานการณ์สุขภาพไทยได้อีกแง่หนึ่ง เพราะจำนวนคนเป็นโรคเบาหวาน หนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs ) ตอนนี้ไม่น้อยเลย และเป็นกันทุกช่วงวัยไม่เว้นวัยรุ่น
สถิติกระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2562 มีกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน (ไม่รวมกรุงเทพ) ราว 2.8 ล้านคน มีตั้งแต่อายุมากกว่า 15 ปี 4,087 คน อายุ 15-39 ปี 99,228 คน อายุ 40-49 ปี 311,408 คน อายุ 50-59 ปี 765,547 คน และอายุ 60 ปีขึ้นไป 1,648,724 คน
กรมควบคุมโรค ระบุข้อมูลที่น่าเป็นห่วงว่า ผู้ป่วยเบาหวานจำนวนมาก 43.2 % ไม่เคยได้รับการวินิจฉัยมาก่อน และไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้ ยังพบว่า 78.5 % หรือมากกว่า 3 ใน 4 ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะมีโรคความดันโลหิตสูงร่วมด้วย
โรคเบาหวานเกิดจากอะไร มาทำความเข้าใจกันอีกที มาจากความผิดปกติทางเมแทบอลิซึม มีลักษณะสำคัญ คือ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้อวัยวะเสื่อมสมรรถภาพ และทำงานล้มเหลว เป็นเหตุให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ ตา ไต หลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมอง
แล้วเจ้าความผิดปกติของเมแทบอลิซึม มาจากอะไร ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ย้ำชัดว่า 98 % ของคนไทยที่เป็นเบาหวานมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ขณะที่เบาหวานที่เกิดจากกรรมพันธุ์ พบเพียง 2 %
ดังนั้นโรคนี้จึงป้องกันได้ โดยก่อนอื่นเชิญชวนผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป มาเข้ารับการตรวจหาความเสี่ยง เจอไม่เจอโรคไม่เป็นไร ดีกว่าเป็นแบบไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันก็ต้องปรับพฤติกรรมการกิน ณ บัดดล แม้จะยาก เพราะ ตอนนี้ขนมนมเนย มีให้บริโภคหลากหลายชวนกิน แต่ก็ต้อง “ทำ” อย่าไปยึดหลักผิดๆ “กินก็เป็นไม่กินก็เป็น” เพราะโรคนี้อย่างที่ชื่อบอก “เรื้อรัง” ไม่ตายง่ายๆ ทำให้ผู้เป็นทรมานพอสมควร จากยาที่กินเป็นกำในแต่ละมื้อ และโรคแทรกซ้อนที่ตามมา อาจถูกตัดอวัยวะสำคัญอย่างขาจากแผลที่ลุกลาม
เพราะผู้เป็นเบาหวาน ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกทำลายระบบประสาท และหลอดเลือดส่วนปลาย ส่งผลให้ระบบประสาทรับความรู้สึกเสียหาย เมื่อเกิดการบาดเจ็บที่เท้าจะไม่สามารถรับความรู้สึก มักเกิดแผลที่เท้าโดยไม่รู้ตัวได้ง่าย
และหากหลอดเลือดที่มาเลี้ยงขา และเท้ามีปัญหา จะทำให้ขบวนการการรักษาแผลของร่างกายเป็นไปอย่างล่าช้า และถ้าติดเชื้อรุนแรงร่วมด้วยผู้ป่วยจึงเสี่ยงถูกตัดเท้า หรือขา สูญเสียความมั่นใจ และสมรรถภาพไปตลอดชีวิต
นอกจากนี้การควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี มีน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง จะมีผลทำให้เส้นเลือดฝอยทั่วร่างกายเปลี่ยนแปลง มีความผิดปกติของผนังหลอดเลือด ที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา ทำให้มองเห็นไม่ชัด ตาพร่ามัว หากไม่ได้รับการรักษา ตั้งแต่เริ่มผิดปกติ อาจทำให้ตาบอดได้ง่ายๆอีกด้วย
ย้ำข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ถึงคำแนะนำสำหรับประชาชน ในการป้องกันโรคเบาหวาน 9 ข้อ ดังนี้
1. รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ แต่ให้ลดอาหารหวาน มัน และเค็มจัด เน้นผัก และผลไม้ที่หวานน้อย หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง ให้รับประทานข้าวไม่ขัดสี ข้าวกล้อง ไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพด น้ำมันทานตะวัน แทนน้ำมันอิ่มตัว เช่น ไขมันจากสัตว์ น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันปาล์ม เลือกดื่มน้ำสะอาด
ที่สำคัญต้องรับประทานอาหารเช้าทุกวัน เพราะจะช่วยควบคุมความอยากอาหาร ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่
2.งดสูบบุหรี่
3.ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
4.ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม และควรมีค่าดัชนีมวลกายให้อยู่ระหว่าง 18.5-22.9 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
5.ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน หรือสะสมได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์
6.ทำจิตใจสดชื่น และผ่อนคลาย
7.ถ้าสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน ควรดูแลและใส่ใจเรื่องการควบคุมอาหาร การกินยา ตรวจตามนัด และสังเกตอาการผิดปกติเบื้องต้น โดยเฉพาะการเกิดแผลที่เท้า
8.หากมีอาการปัสสาวะบ่อย และมาก คอแห้งกระหายน้ำ หิวบ่อยกินจุ น้ำหนักลด เป็นแผลง่าย และหายยาก คันตามผิวหนัง ตามัวและชาตามปลายมือปลายเท้า ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยต่อไป
9. ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422