Opinions

ปลุกกระแสกระจายอำนาจ ปลดล็อกกับดักเหลื่อมล้ำ

Avatar photo
249

เมื่อเร็วๆนี้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับคณะรัฐศาสตร์ ,สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย และ ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม คณะเศรษฐศาสตร์ เปิดเวที “Thammasat Resolution Talk” อีกครั้งเพื่อ ” ตั้งโจทย์-ตอบอนาคต : วาระการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง” หัวข้อ “การกระจายอำนาจและปฏิรูประบบราชการ”

รศ.ดร.อภิชาต สถิตนิรามัย1
รศ.ดร.อภิชาต สถิตนิรามัย

รศ.ดร.อภิชาต สถิตนิรามัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สถานการณ์ของประเทศไทยขณะนี้ อยู่ในภาวะติดกับดัก 3 แพร่ง คือ

1.กับดักความเหลื่อมล้ำ

2.กับดักระบอบอำนาจนิยม

3.กับดักรายได้ปานกลาง

แต่การแก้ไขปัญหายังขาดประสิทธิผล เพราะมีการรวมศูนย์อำนาจของรัฐแบบไร้เอกภาพ เหมือนกับ “ปิรามิดสามเหลี่ยมที่แตกกระจาย” จึงไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบาย หรือบังคับใช้กฎหมายแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้

โดยในปี 2561 มูลค่าทรัพย์สินของคนรวยที่สุด 50 ลำดับแรกในประเทศไทย คิดเป็น 35.58% ของจีดีพี ขณะที่คนชั้นกลางระดับบนก็รู้สึกถึงความไม่มั่นคง จึงมีความพยายามปกป้องความมั่งคั่งด้วยการสนับสนุนกลุ่มอำนาจนิยม ต่อต้านการกระจายทรัพยากรและการกระจายรายได้ สำหรับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ก็สถาปนาให้เกิดรัฐราชการที่รวมศูนย์ ทั้งๆ ที่พลังทางสังคมเติบโตขึ้นมาก

“การปฏิรูประบบราชการ และการกระจายอำนาจขนานใหญ่ จะทำได้ ต่อเมื่อเกิดพลังทางสังคมในวงกว้างและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ จนสามารถบังคับให้รัฐต้องรับผิดต่อประชาชน”

คุณพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ2
นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ

นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา จังหวัดยะลา เสริมว่า การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นขณะนี้ยังไม่ถูกขับเคลื่อนอย่างจริงจัง องค์กรปกครองท้องถิ่นเหมือนอยู่ในภาวะถูก “มัดตราสัง” จากระบบการตรวจสอบที่เข้มงวดจากมาตรการกำกับดูแลของส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค รวมถึงขาดแคลนบุคลากรที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง

ทั้งๆ ที่ผู้บริหารท้องถิ่นหลายแห่งมุ่งมั่นทำงานเชื่อมโยงกับความต้องการของประชาชนได้ดี และมีนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ สุดท้ายถูกมองว่าบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ สิ่งที่ท้องถิ่นต้องการ ก็คืออิสระในการทำงานภายใต้กรอบหน้าที่

รัฐกลางต้องเข้าใจว่าวันนี้ชาวบ้านมีความสามารถในการจัดการตนเองแล้ว หากส่วนกลางยังคิดแบบเดิมอยู่ กงล้อจะหมุนกลับไปสู่รัฐเอง ว่า ทำไมจึงไม่ปฏิรูป”

ผศ.ดร.อรทัย ก๊กผล รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า ที่ผ่านมา การกระจายอำนาจ ถือเป็นนโยบายของทุกพรรคการเมือง แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาลกลับไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง เพราะติดขัดระบบราชการเดิมที่ปรับเปลี่ยนได้ยาก แนวทางใหม่ คือมุ่งเน้นเฉพาะจุดที่คนในพื้นที่เข้มแข็ง เช่น ขอนแก่น หรือ แม่สอด จังหวัดตาก เป็นต้น ผลักดันให้ขับเคลื่อนโดยไม่ต้องรอส่วนกลาง

ผศ.ดร.อรทัย ก๊กผล2
ผศ.ดร.อรทัย ก๊กผล

 

“การปฏิรูประบบราชการไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางออกของประเทศไทย รัฐบาลใหม่ควรขับเคลื่อนอย่างแรงและต้องไปต่อ ไม่ใช่หยุดนิ่งอยู่กับที่”  ผศ.ดร.อรทัย ระบุ พร้อมกับเสนอให้เปลี่ยนระบบบริหารเดิมที่กำหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)  เทศบาล อบต.ดำเนินการแบบเดียวกันทั้งประเทศหรือ “ระบบสมมาตร” ให้เปลี่ยนเป็นระบบที่ทุกพื้นที่สามารถพัฒนาในสิ่งที่เหมาะสมกับบริบทของตนเองได้ โดยมีสภาพลเมือง ทำหน้าที่เรียกร้องตรวจสอบผู้บริหารท้องถิ่น

ด้าน ผศ.ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ย้ำว่า การขับเคลื่อนระบบราชการบริหารส่วนท้องถิ่นเติบโตมาตลอด 20 ปี ปัจจุบันมีท้องถิ่น 7,853 แห่งทั่วประเทศ เป็นกลไก และยังมีสถาบันทางการเมืองระดับชุมชน ที่จัดบริการสาธารณะได้หลากหลายและได้รับการยอมรับมากขึ้น ทั้งการศึกษา สาธารณสุข และการดูแลผู้สูงอายุ

“การกระจายอำนาจต้องดำเนินต่อไป จะหยุดนิ่ง แช่แข็ง หรือถูกบอนไซไม่ได้ เพราะมุมมองทางรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ล้วนเห็นตรงกันว่า การกระจายอำนาจ ทำให้สังคมได้ประโยชน์”  

ในส่วนของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 นั้น ผศ.ดร.วสันต์ มองว่า กำหนดหลักการกระจายอำนาจแบบกว้างๆ แม้ไม่ถอยหลัง แต่ก็ไม่เห็นทิศทางข้างหน้าชัดเจน ท่ามกลางโลกปัจจุบันในศตวรรษที่ 21 จึงท้าทายบทบาทของรัฐบาลในอนาคต ต้องเน้นการแก้ปัญหาเกี่ยวกับสัมพันธภาพของทั้ง 3 ฝ่ายคือส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ร่วมมือกันหาทางออกในการจัดแบ่งบทบาทและอำนาจหน้าที่ให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน