“พลังงานไทย” ถอยหลังเข้าคลองในยุคของ “รัฐมนตรีพีระพันธุ์”
ภาคพลังงานของไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดตั้งแต่ยุคโชติช่วงชัชวาลสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ไทยมีการค้นพบแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทย ทำให้เราสามารถนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมาผลิตไฟฟ้า แปรรูปเป็นปิโตรเคมี มีการลงทุนเพิ่มในหลายอุตสาหกรรม จนทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ
ตั้งแต่ก่อตั้งกระทรวงพลังงานในปี 2545 ฝ่ายบริหารของกระทรวงพลังงานมีบุคลากรที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานอย่างมากมายทั้งในส่วนของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ แม้แต่ฝ่ายการเมืองที่เข้ามาแต่ละพรรคการเมืองที่ส่งตัวแทนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีก็มักจะเฟ้นคนเก่ง มีแนวคิดที่เป็นสากล ทันโลก เข้ามาบริหารงาน ทำให้การพัฒนาพลังงานของประเทศไทยก้าวหน้า ได้รับการยอมรับว่าเป็นแถวหน้าของภูมิภาคมีกฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นสากลทัดเทียมนานาประเทศ การออกกฎหมายใหม่ๆมีการทำประชามติ ระดมผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมกันทำงานจนได้กฎหมายที่เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย
มาถึงในยุคปัจจุบันที่กระทรวงพลังงานมาอยู่ภายใต้การบริหารของ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มีเสียงบ่นดัง ๆ ให้ได้ยินมาจากข้าราชการในกระทรวงพลังงาน ว่าแนวคิดของรัฐมนตรีท่านนี้แตกต่างจากการบริหารงานที่ผ่านมาของรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานทุกคน เพราะแทนที่จะทำให้นโยบายพลังงานของประเทศก้าวหน้า กลับไปในทิศทางตรงกันข้าม พานโยบายพลังงานถอยหลัง (ลงคลอง) ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เสรี นอกจากนั้นแนวความคิดที่นำมาออกแบบนโยบายกลับไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักการสากลว่าแต่ละเรื่องที่ทำนั้นจะเกิดประโยชน์กับประเทศและประชาชนได้อย่างไร
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือนโยบายที่รัฐมนตรีพีระพันธุ์ต้องการให้มีการเพิ่มจำนวนการสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง หรือที่เรียกว่า Strategic Petroleum Reserve (SPR) โดยมีแนวคิดที่จะให้เพิ่มการสำรอง น้ำมันในปัจจุบันจาก 30 วัน มากถึง 90 วันหรือมากกว่าเท่าตัว
นโยบายนี้ไม่ได้คิดจากความจำเป็นของประเทศไทย แต่เป็นการไปลอกเลียนแบบการสำรองน้ำมันของประเทศมหาอำนาจที่มีการสำรองน้ำมันตามเกณฑ์ขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency หรือ IEA) ซึ่งตัวเลขการสำรองน้ำมัน 90 วันนี้เป็นตัวเลขที่ IEA ได้กำหนดไว้ให้สำหรับประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐอมริกา ญี่ปุ่น และ จีน ที่ล้วนแต่มีขนาดเศรษฐกิจไทยใหญ่กว่าประเทศไทยมีความจำเป็นใช้น้ำมันวันละหลายล้านบาร์เรลต่อวัน
ประเทศไทยนั้นมีผลการศึกษาจากสถาบันปิโตรเลียมและพลังงานแห่ง ประเทศไทย (PTIT) ได้มีการศึกษาเรื่อง SPR อย่างต่อเนื่อง พบว่าประเทศไทย ไม่มีความจำเป็นต้องกักเก็บสำรองน้ำมันถึง 90 วัน เนื่องจากประเทศไทยเรามีการเก็บสำรองน้ำมัน โดยให้ผู้ประกอบการเป็นผู้จัดเก็บสำรองตามกฎหมาย (Legal Reserve) ประมาณ 25-30 วันอยู่แล้ว นอกจากนั้นหากจะมีการสำรองน้ำมันเพิ่มจนถึง 90 วัน จะต้องสร้างสถานที่เก็บกักสำรองน้ำมันขนาดใหญ่ รวมทั้งมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มจากการเพิ่มสำรองน้ำมันอีกมาก
ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีสถานที่กักเก็บน้ำมันสำรองดังกล่าว ดังนั้นหากจะเก็บกักน้ำมันเพิ่มก็ต้องมีการก่อสร้างคลังน้ำมันสำรองขนาดใหญ่ รวมทั้งมีต้นทุนในการจัดหาน้ำมันจากประเทศต่างๆมาเก็บสำรองไว้ ซึ่งเมื่อมีการก่อสร้างและการบริหารงาน ก็จะมีภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นอีกจำนวนมากก็คงไม่พ้นที่ประชาชนจะต้องมาจ่ายภาษีเพิ่มในการรับภาระในส่วนนี้ซึ่งสะท้อนว่าคนที่คิดนโยบายนี้ไม่ได้มองตั้งแต่ต้นจนจบว่าเมื่อทำแล้วปัญหาอะไรจะตามมา
การที่ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเพิ่มการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์จากที่กฎหมายมีอยู่ก็เนื่องจากปัจจุบันตลาดน้ำมันเป็นของผู้ซื้อประเทศผู้ผลิตน้ำมันมีการผลิตน้ำมันออกมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนตลาดน้ำมันไม่ได้มีภาวะขาดแคลน เมื่อรวมกับนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯในสมัยที่ 2 มีนโยบายสนับสนุนการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นแปลว่าปริมาณน้ำมันจะออกสู่ตลาดโลกอีกมหาศาล
สภาวะแบบนี้ประเทศไหนที่รัฐมนตรีพลังงานไปสนับสนุนให้สร้างคลังสำรองน้ำมัน และเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันอีกหลายเท่าตัวก็เท่ากับว่ารัฐมนตรีพลังงานคนนั้นขาดความรู้ ความเข้าใจ กลไกตลาดเรื่องของพลังงานอย่างชัดเจน
ลำพังแค่ไม่เข้าใจในเรื่องเหล่านี้ก็มีจุดอ่อนในการบริหารงานกระทรวงพลังงานมากพออยู่แล้ว หากยังเพียรพยายามจะออกกฎหมายเรื่องนี้ด้วยความไม่เข้าใจ ยิ่งผลักให้นโยบายพลังงานของไทย ถอยหลังเข้าคลอง
คนรับกรรมก็คือประชาชนผู้เสียภาษี ที่ต้องแบกรับนโยบายที่จะสร้างความเสียหาย และภาระต้นทุน ที่เกิดจากความไม่รู้แต่ดันทุรังของรัฐมนตรี ที่ติดกรอบการบริหารที่จ้องแต่จะแก้กฎหมายอย่างพร่ำเพื่อไร้ความจำเป็น
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘พีระพันธุ์’ แจงคืบหน้านโยบาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ จ่อชงกม.ตั้ง SPR ต้นปี 68
- ‘อุ๊งอิ๊ง’ เตรียมเรียกรัฐมนตรีคุยอัปเดตนโยบาย ปัดข่าวลือปรับ ‘พีระพันธุ์’ พ้นเก้าอี้
- ‘พีระพันธุ์’ ถก ‘กพช.’ สั่งชะลอรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3,668 เมกะวัตต์
ติดตามเราได้ที่
- เว็บไซต์ : https://www.thebangkokinsight.com/
- Facebook : https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
- X : https://twitter.com/BangkokInsight
- Instagram : https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
- Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg