Opinions

‘เศรษฐกิจไทย’ เจอแรงกดดัน ‘ปัญหาเชิงโครงสร้าง’ แผนงบฯ ทำ ‘ฐานะคลัง’ เสี่ยง

Avatar photo

“วิจัยกรุงศรี” หน่วยงานภายใต้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์ ระบุ การฟื้นตัวตามวัฏจักรของ “เศรษฐกิจไทย” กำลังถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ขณะที่แผนการจัดทำงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจสร้างความเสี่ยงต่อฐานะทางการคลัง

บทวิเคราะห์ ระบุว่า ภาคท่องเที่ยว และการใช้จ่ายในประเทศช่วยหนุนเศรษฐกิจไตรมาส 2 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ทั้งปี อาจต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้

เศรษฐกิจไทย

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนเมษายนฟื้นตัวต่อเนื่อง นำโดยกิจกรรมในภาคบริการที่ปรับดีขึ้นจากเดือนมีนาคม ตามการเพิ่มขึ้นของทั้งรายรับจากการท่องเที่ยว (+7.1% MoM sa) และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ (+4.4%)

นอกจากนี้ อุปสงค์ในประเทศปรับดีขึ้นทั้งการบริโภคภาคเอกชน (+1.6%) และการลงทุนภาคเอกชน (+5.0%) หลังจากลดลงในเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงจากความกังวลการฟื้นตัวช้าของเศรษฐกิจ ประกอบกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันในประเทศ ด้านมูลค่าส่งออกสินค้า (ไม่รวมทองคำ) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน (+4.8%) สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับดีขึ้น (+3.5%)

แม้เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 ของปีมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และกระจายตัวในหลายภาคส่วนมากขึ้น จากปัจจัยหนุนตามวัฎจักร (Cyclical factor) ทั้งการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง และการลงทุนภาครัฐ ที่คาดว่าจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในระยะถัดไป แต่การส่งออกของไทยยังมีแนวโน้มเติบโตต่ำ ปัจจัยลบจากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิต ซึ่งทำให้การส่งออกกระจุกตัวในสินค้าประเภท low value-added ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง

การศึกษาของวิจัยกรุงศรีพบว่า ประสิทธิภาพแรงงานหรือ Labor productivity หลังจากเกิดโรคโควิด-19 ลดลงถึง 1.6% ต่อปี (CAGR) และลดลงชัดเจนในหลายภาค อุตสาหกรรม แตกต่างจากช่วงก่อนเกิดโรคโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นราว 4.2% ต่อปี

นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลงในช่วงที่เหลือของปีจากแรงกดดันของปัญหาหนี้ครัวเรือนระดับสูง และภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ในภาคเกษตร โดยภาพรวมแล้ววิจัยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตที่ 2.4% ต่ำกว่าเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 2.7%

กรอบแผนการคลังระยะปานกลางล่าสุดสะท้อนว่า เสถียรภาพทางการคลังของไทยเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 28 พฤษภาคม 2567 มีมติเห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบฯ 2567 โดยปรับเพิ่มการขาดดุลงบประมาณเป็น 8.05 แสนล้านบาท จากเดิมที่ 6.93 แสนล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

เศรษฐกิจไทย

ทั้งยังมีการทบทวนรายละเอียดในแผนการคลังปี 2568-2571 โดยเฉพาะการปรับลดคาดการณ์จีดีพีในแต่ละปี เพื่อให้สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2567 ที่ทางการปรับลดจากขยายตัว 2.7% เป็น 2.5%

การทบทวนแผนการคลังระยะปานกลาง และการขยายกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 จากเดิม 3.48 ล้านล้านบาท เป็น 3.602 ล้านล้านบาท ส่งผลให้การขาดดุลการคลังปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% ของจีดีพี ก่อนจะแตะระดับการขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.5% ของจีดีพีในปีงบฯ 2568

การขาดดุลดังกล่าว จะส่งผลให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพี พุ่งขึ้นจาก 63.7% ในปัจจุบัน (ณ สิ้นเดือนมี.ค.2567) ไปแตะระดับ 65.7% ในปีงบฯ 2568 และเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 68.9% ในปีงบฯ 2570 ซึ่งใกล้จะเต็มเพดานหนี้สาธารณะที่ 70%

แผนการคลังระยะปานกลางของไทยสะท้อนถึงแรงกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น ที่มาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของภาระหนี้สินจำนวนมาก ซึ่งจะกระทบต่อเสถียรภาพการคลัง และการจัดการกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า เนื่องจากช่องว่างในการดำเนินนโยบายการคลัง (fiscal policy space) อาจเหลือไม่เพียงพอต่อการรับมือหากเกิดวิกฤต นอกจากนี้ ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือได้ในอนาคต

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่