บันทึกการเดินทางฉบับนี้ลุงม่วงจะพาไปเที่ยวอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี กับ 10 จุดกินเที่ยว ชมเรื่องราวของอำเภอเก่าแก่ ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตเอาไว้ได้อย่างน่ารัก น่าท่องเที่ยวทีเดียวครับ
เริ่มต้นทริปนี้กันที่ วัดป่าสว่างบุญ ต.ชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี โดยลุงม่วงใช้เส้นทางสายบ้านนา-แก่งคอย วัดจะอยู่ไม่ไกลจากทางหลักมากนัก เส้นทางสะดวกสบาย เป็นวัดที่สงบเงียบ เหมาะกับการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่ทางด้านหลังติดกับเชิงเขามีอากาศที่เย็นสบาย และมีประชาชนเข้าไปปฏิบัติธรรมกันเป็นจำนวนมากในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สิ่งที่โดดเด่นของวัดป่าสว่างบุญ คือ พระมหาเจดีย์ 500 ยอด
พระมหาเจดีย์ 500 ยอด หรือชื่อเต็มๆ ว่า พระมหารัตนโลหะเจดีย์ศรีศาสนโพธิสัตว์สว่างบุญ จะมีซุ้มประตูทางเดินเป็นบันไดขึ้นไปด้านบนทั้ง 4 ทิศ
ด้านบนจะเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ โดยรอบจะตกแต่งด้วยกระจกทับทิม โดยมีภาพพระธาตุเจดีย์สำคัญๆ ภายในประเทศประดับประดาเอาไว้โดยรอบ งดงามเป็นอย่างยิ่ง ด้านหลังของ พระมหาเจดีย์ 500 ยอด จะเป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่
ถัดจากพระมหาเจดีย์ 500 ยอด ออกไปอีกนิด จะเป็นพระอุโบสถที่กำลังก่อสร้างอยู่ ยังไม่เสร็จดีนัก ภายในจะมีพระประธานองค์ใหญ่ งดงามและอลังการมากๆ
ด้านหลังของวัดป่าสว่างบุญติดกับเชิงเขายังมีรูปปั้น พระพุทธสีหไสยาสน์องค์ใหญ่ที่สุดในโลก นามว่า “พระมหาจักรพรรดิพุทธสว่างบุญ” มีความสูงเทียบเท่าตึก 16 ชั้น ยาวถึง 200 เมตร สังเกตได้จากขนาด เมื่อเทียบกับรถยนต์ทางด้านขวามือ
หลวงพ่อสมชาย ปุญญมโน พระผู้สร้างวัดป่าสว่างบุญ เล่าว่า ก่อนการก่อสร้างพระมหาเจดีย์ 500 ยอด เที่ยงคืนของวันหนึ่ง หลวงพ่อได้นำดอกไม้ธูปเทียนสักการบูชาไปอธิษฐานจิตขอสร้างพระมหาเจดีย์ 500 ยอด หากสำเร็จหรือไม่สำเร็จขอให้เห็นนิมิตหมายที่ดีในคืนนี้ แล้วหลวงพ่อก็เริ่มพิธีสวดมนต์
ทันใดนั้นมดง่ามได้ขึ้นมากัดไต่ทั่วร่าง หลวงพ่อจึงมีความคิดว่า มดก็คือมาร หากสู้มดได้ก็สู้มารได้ สู้มดไม่ได้ก็สู้มารไม่ได้ หมายถึงสร้างพระมหาเจดีย์ไม่ได้ จึงตัดสินใจยอมอดทนให้มดกัด นั่งสวดมนต์ใช้เวลา 1 ชั่วโมง จึงสวดเสร็จ แล้วแผ่เมตตามดง่ามก็หายไป
คืนนั้นหลวงพ่อนิมิตว่าได้แบกไม้ไผ่ลำยาวถึง 50 เมตร มีลูกตุ้มถ่วง 2 ข้าง มีคนอื่นมายกก็ยกไม่ไหว หลวงพ่อจึงไปแบกเอง ปรากฏว่าแบกไหว แล้วใส่บ่าแบกขึ้นบนภูเขา พร้อมกันนั้นมีเสียงดังจากอากาศพูดว่าสร้างพระเจดีย์มีอานิสงส์มากมาย ขออนุโมทนาบุญด้วย จะได้เป็นสมเด็จอยู่นอกเมือง ขอให้ชื่อพระมหาเจดีย์ 500 ยอด ว่า “พระมหารัตนโลหะเจดีย์ศรีศาสนโพธิสัตว์สว่างบุญ” โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2548
ในแต่ละเดือนที่มีการก่อสร้าง สาธุชนจำนวนหลายพันคนได้มาช่วยก่อสร้างด้วย นับเป็นการก่อสร้างที่รวมจิตใจอันบริสุทธิ์ เป็นพลังอันยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่สามารถประมาณค่าได้ โดยใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี จึงแล้วเสร็จสมบูรณ์
วัดป่าสว่างบุญไม่มีรถสาธารณะผ่าน ต้องใช้รถส่วนตัวโดยใช้เส้นทาง สระบุรี-นครนายก จาก อ.แก่งคอย ไปประมาณ 15 กิโลเมตร พอถึงตำบลชะอม เลี้ยวซ้ายไปเส้นทางเที่ยวน้ำตกโกรกอีดก ตรงเข้าไปประมาณ 4 กิโลเมตร วัดตั้งอยู่ทางขวามือ มีป้ายบอกทางชัดเจน
จากวัดป่าสว่างบุญห่างออกไป ราว 35 กิโลเมตร ลุงม่วงเดินทางมาที่ตัวอำเภอแก่งคอย จอดรถเอาไว้ที่วัดแก่งคอยและใช้วิธีเดินเที่ยว ตลาดเก่าแก่งคอย ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัดแก่งคอยนั่นเอง ไม่ลืมสวมหน้ากากอนามัยก่อนเดินเข้าแหล่งชุมชนนะครับ
ในตัวอำเภอแก่งคอยจะมีตลาดให้เดินเที่ยวอยู่ด้วยกัน 3 ตลาด คือ
- ตลาดเทศบาลเมืองแก่งคอย
- ตลาดยามเย็น
- ตลาดโต้รุ่ง
ทั้ง 3 ตลาดจะเป็นตลาดเล็กๆ เดินลัดเลาะได้ถึงกันหมด ส่วนใหญ่จะเป็นของกิน ของพื้นบ้าน โดยวิถีชีวิตชาวแก่งคอยผูกพันกับสายน้ำ มีแม่น้ำป่าสักไหลผ่าน สินค้าที่เห็นได้โดยทั่วไป จะเป็นประเภทปลาต่างๆ
ข้าวมันไก่ตานูน ใกล้กับวัดแก่งคอย เป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงอีกร้านหนึ่งของอำเภอแก่งคอย ร้านจะเป็นเรือนไม้แบบโบราณ ภายในร้านยังคงความเป็นโบราณ และใช้เตาถ่าน มีกาแฟโบราณ ก๋วยเตี๋ยวขายด้วย นอกจากข้าวมันไก่ ก่อนทานอาหารอย่าลืมล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์กันก่อนนะครับ
ข้าวมันไก่ร้านตานูน ไก่ที่สับจะเป็นชิ้นโตๆ ไม่ตบให้แบน ข้าวร่วนนุ่ม รสชาติดี และให้เยอะ ราคา 50 บาท
อิ่มท้องกันแล้วก็ได้เวลาเดินเล่น บ้านเรือนร้านค้าโดยรอบของ อ.แก่งคอย ยังคงอนุรักษ์รูปแบบโบราณเอาไว้ได้อย่างมีเอกลักษณ์ แม้ความเจริญจะคืบคลานเข้ามา แต่เรายังสามารถพบเห็นบ้านเรือนเก่าๆ ของที่นี่ได้ทั่วไป
ร้านข้าวหน้าเป็ด หมูแดง หมูกรอบ ร้านเทพบรรทม หรือร้านลุงเต่า ด้านหน้าสถานีรถไฟแก่งคอย เป็นอีกหนึ่งร้านที่มีชื่อเสียง และไม่ควรพลาดเมื่อมาแก่งคอย โดยเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งนอกจากรสชาติของอาหาร ก็คงเป็นความเก่าโบราณของร้านที่ปลูกสร้างด้วยไม้ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่มีความคลาสสิก
สถานีรถไฟชุมทางแก่งคอย จะอยู่ติดกับร้านข้าวหน้าเป็ดลุงเต่านั่นเอง เป็นสถานีรถไฟเก่าแก่ ที่มีประวัติความเป็นมาในอดีตตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสถานีรถไฟแห่งนี้ เคยถูกเครื่องบินกองทัพของทหารพันธมิตรทิ้งระเบิดทำลาย เพื่อตัดเส้นทางการเดินทัพของกองทัพญี่ปุ่น
ปัจจุบัน สถานีแห่งนี้มีความสำคัญในการเดินทางไปยังหลายๆ เส้นทาง เช่น ภาคอีสาน เพราะสามารถไปทางปากช่องเพื่อขึ้นไปทางอุบลราชธานี หรือจะเข้าทางเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เพื่อขึ้นไปทางหนองคายก็ได้
อนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดแก่งคอย สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ แด่ผู้เสียชีวิตจากสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อปี 2482 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ญี่ปุ่นได้บังคับให้ไทยเป็นพันธมิตร และขอเดินทัพผ่านทางอำเภอแก่งคอย ซึ่งถือเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ในการขนส่งสินค้าทั้งทางแม่น้ำป่าสัก และทางบกโดยรถไฟ จึงมีกำลังทหารญี่ปุ่นมาตั้งค่ายเป็นจำนวนมาก
กระทั่งถึงช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวันที่ 2 เมษายน 2488 ฝ่ายตรงข้าม หรือกลุ่มพันธมิตรจากหลายชาติ นำโดยสหรัฐได้นำเครื่องบินมาทิ้งระเบิด ที่อำเภอแก่งคอย ส่งผลให้สถานที่ราชการ ตลาด วัด และบ้านเรือนประชาชน เกิดเพลิงไหม้มีชาวแก่งคอย และญี่ปุ่น เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
วัดแก่งคอย สร้างขึ้นเมื่อปี 2330 โดยชาวบ้านได้ร่วมใจกันก่อสร้างยกที่ดินให้เป็นที่ธรณีสงฆ์เพื่ออุทิศถวายในบวรพุทธศาสนา ต่อมาชาวบ้านได้พากันเรียกชื่อวัดนี้ว่า วัดแร้งคอย เนื่องจากในอดีตที่ความเจริญเข้ามา ป่าไม้ก็ลดน้อยลง เพราะถูกทำลาย ทำให้สัตว์ต่าง ๆ ต้องย้ายที่อยู่อาศัยไปอยู่ที่อื่น
ส่วนนกอีแร้งได้พากันมาอาศัยอยู่ที่ต้นยางใหญ่ ที่เหลืออยู่ในบริเวณริมตลิ่งแม่น้ำป่าสักติดกับวัดเป็นจำนวนนับร้อยๆ ตัว ทำให้การหาอาหารจำพวกซากสัตว์ที่ตาย ไม่พอกับความต้องการของอีแร้ง จึงได้พากันจิกตีแย่งกัน ร่วงหล่นตกลงมาจากยอดยาง ให้พระเณร และประชาชนได้พบเห็นเป็นประจำ
ในตอนเย็นอีแร้งเหล่านี้ก็พากันกลับมานอนที่ต้นยางใหญ่แห่งนี้เป็นประจำ ชาวบ้านจึงได้พากันเรียกตรงนี้ว่าที่แร้งคอย และได้ขนานนามวัดนี้ว่า วัดแร้งคอย ต่อมาทางการได้ทำการเปลี่ยนชื่อให้ดูไพเราะขึ้นเป็นวัดแก่งคอย จนถึงปัจจุบัน
พระมหาธาตุเจดีย์ศรีป่าสัก สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 ในวาระที่พระองค์ทรงมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา องค์พระธาตุมีสีขาวตั้งอยู่ด้านหลังของวัดแก่งคอยติดกับแม่น้ำป่าสัก
บริเวณวัดแก่งคอยทางด้านหน้าแม่น้ำป่าสักจะเป็นศาลาที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่อยู่ภายใน
ริมทางสายแก่งคอย-บ้านนา ช่วงเวลานี้เราจะพบเห็นเพิงขายส้มโอเป็นจำนวนมาก ลุงม่วงแวะซื้อมา 3 ลูก 100 บาท รสชาติกำลังดีเลยครับ
เย็นวันนี้ลุงม่วงมากางเต็นท์นอนที่ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคดโป่งก้อนเส้า ต.ท่ามะปราง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ก่อนจะเข้าไปด้านในต้องผ่านจุดคัดกรองด้านหน้ากันก่อนนะครับ
ความสำคัญของเครื่องหมายสัญลักษณ์ SHA ที่ปัจจุบันสามารถพบเห็นได้ตามสถานที่ท่องเที่ยว และสถานบริการต่างๆ มีความหมายในด้านสุขอนามัย และมีความปลอดภัยโดยกระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬาจัดทำขึ้นร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข
SHA หรือ Amazing Thailand Safety & Health Administration มีชื่อเต็มในภาษาไทยว่า โครงการยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เป็นโครงการความร่วมมือของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กับกรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ
โดยนำมาตรการความปลอดภัยด้านสาธารณสุขผนวกกับมาตรฐานการให้บริการที่มีคุณภาพของสถานประกอบการ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยวว่าทุกคนจะได้รับประสบการณ์ที่ดี มีความสุข และความปลอดภัยด้านสุขอนามัยจากสินค้าและบริการนั้นๆ
จุดลงทะเบียนค้างแรมบริเวณที่ทำการศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคดโป่งก้อนเส้า ก่อนลงทะเบียนอย่าลืมล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์กันก่อนนะครับ
จุดเด่นของศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคดโป่งก้อนเส้า กับบรรยากาศสบายๆ ที่นี่จะมีให้เลือกค้างแรมทั้งบ้านพัก และเต็นท์นอน มีเต็นท์ให้เช่า หรือจะนำเต็นท์มาเองก็ได้ มีอาหารจำหน่าย มีอุปกรณ์เครื่องนอน เตาถ่านให้เช่า
จากลากันไปด้วยภาพบรรยากาศของศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคดโป่งก้อนเส้า กับการเดินทางท่องเที่ยวใกล้ๆ สบายๆ ในวันหยุดสั้นๆ แล้วพบกันใหม่ในจังหวัดต่อไป สวัสดีครับ
#AMAZINGไทยเท่ #เที่ยวไทยเที่ยวง่ายสนุกทุกทริป
ที่มา : เฟซบุ๊กเพจ ม่วงมหากาฬพาเที่ยว : Life for Travel
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘สุพรรณบุรี’ ไม่ต้องลังเลที่จะไปเที่ยว
- ‘กาญจนบุรี’ เที่ยวสนุกไม่รู้ลืม ไทยเที่ยวไทย ไปเที่ยวกัน
- เที่ยวสระบุรี ไหว้พระทำบุญ เที่ยวชุมชนตลาด เช็คอินเที่ยววิถีถิ่น